Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

สนามพลังแม่เหล็กลึกลับแห่ง ลาดัคห์

สนามพลังแม่เหล็ก ลาดัคห์ 
(The Magnetic Hill Of Ladakh)
ในภูมิภาคของลาดัคห์ ใกล้เทือกเขาหิมาลัย มีเนินเขาประหลาดเนินหนึ่งที่ถูกเรียกว่า “ภูเขาสนามพลังแม่เหล็ก”

ที่หากคุณจอดรถของคุณอยู่บนถนน ปล่อยเกียร์ว่าง รอสักพักรถก็จะแล่นไปข้างหน้า (ด้วยความเร็ว 20 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง หรือ 12.4 ไมล์ต่อชั่วโมง) แถมถนนยังเป็นถนน “ขึ้นเขาที่สูงชัน” ซะด้วย
และนี่คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ และสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของนักเดินทาง แน่นอนว่าต้องมีคำอธิบายว่าทำไมเนินแห่งนี้ถึงมีสนามพลังแม่เหล็ก แต่น่าเศร้าที่ทุกอย่างเป็นความลึกลับ
ความจริงอาจเป็นภาพลวงตาของเนินที่ทำให้เห็นถนนนั้นเป็นเนินสูง แต่ความเป็นจริงแล้ว ถนนนั้นต่ำกว่าช่วงที่ขึ้นเนิน มันจึงทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้น (เหมือนเนินเขาพิศวงในจังหวัดแพร่ ในประเทศไทยเรา) ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
(The Magnetic Hill Of Ladakh)

หมู่บ้านต้องคำสาป The Cursed Village Of Kuldhara

หมู่บ้านต้องคำสาปKuldhara 
(The Cursed Village 
Of Kuldhara)
เรื่องราวของหมู่บ้านเก่าแก่กว่า 500 ปีที่มีผู้อยู่อาศัยกว่า
1,500 คน ได้เกิดเรื่องลึกลับขึ้น เมื่อพวกเขาทั้งหมดได้หายไปโดยไม่มีสาเหตุ และไม่ทราบชะตากรรมของคนเหล่านี้ว่าเป็นหรือตาย แน่นอนว่ามีข้อสันนิษฐานมากมาย เป็นต้นว่าพวกเขาอพยพกะทันหัน หรือ
หนีการปกครองที่กดขี่
ไม่ว่าสาเหตุแท้จริงจะเป็นเช่นไร หมู่บ้านนี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วว่าเป็นหมู่บ้านต้องคำสาป ที่อาจมาจากชาวบ้านสาปแช่งเอาไว้ ไม่ให้คนภายนอกมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้

ตามตำนานบอกว่าทุกคนที่เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี้จะตายอย่าง
โหดร้าย และคนที่เสียชีวิตในนั้นก็กลายเป็นวิญญาณหลอกหลอนผู้คน

ซึ่งนักวิจัยอาถรรพณ์..ก็ได้เข้ามาพบประสบการณ์แปลกประหลาดในหมู่บ้านแห่งนี้

ทุกวันนี้หมู่บ้านแห่งนี้ยังคงถูกทิ้งร้างและยังเป็นที่หลอกหลอนคนทั่วไปเหมือนเดิม
หมู่บ้านต้องคำสาปKuldhara 
(The Cursed Village Of Kuldhara)
The Cursed Village Of Kuldhara

เรื่องจริงชวนสยอง เมื่อทีมรักบี้เครื่องบินตกบนภูเขาหิมะ ความหิวโหยทำให้พวกเขาต้อง กินกันเอง

เรื่องจริงชวนสยอง!! เมื่อทีมรักบี้เครื่องบินตกบนภูเขาหิมะ ความหิวโหยทำให้พวกเขาต้อง 
“กินกันเอง”

ในยามคับขันมนุษย์สามารถกระทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด ไม่เว้นแม้กระทั่งการกินเนื้อจากมนุษย์ด้วยกัน เหมือนกับเรื่องราวของนักกีฬารักบี้กลุ่มนี้ที่ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ
จนพวกเขาต้องกินเนื้อคนเพื่อประทังชีวิต และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของพวกเขา

ย้อนกลับไปในวันที่ 13 ตุลาคม 1972ทีมนักกีฬารักบี้จากมหาวิทยาลัย Stella Maris College กำลังออกเดินทางจากเมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย โดยเครื่องบินFairchild FH-227D
พร้อมกับผู้โดยสารคนอื่นๆ เป็นจำนวนรวมทั้งหมด 45 คน เพื่อไปแข่งขันกีฬารักบี้ ที่เมืองซานติอาโก ประเทศชิลี

ภาพถ่ายขณะเดินทางบนเครื่อง สีหน้าทุกๆ คนเต็มไปด้วยความสุข

ระหว่างที่เดินทางสภาพอากาศเลวร้ายมากเครื่องบินไม่สามารถเดินทางในเส้นทางปกติ ทำให้นักบินตัดสินใจบินอ้อมเทือกเขาแอนดีส แต่แทนที่นักบินจะสามารถประคองเครื่องบินผ่านเส้นทางดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย กลับเป็นว่านักบินกับต้องเจอสภาพอากาศที่เลวร้ายไม่ต่างกัน จนกระทั่งเครื่องบินเสียการทรงตัว และตกบนเทือกเขาแอนดีส ที่เต็มไปด้วยหิมะกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ
 
โชคดีที่ผู้โดยสารไม่เสียชีวิตทั้งหมดมีเพียง 12 คนเท่านั้นที่เสียชีวิตทันทีหลังจากเครื่องบินตก ที่ส่วนมากล้วนเป็นทีมนักกีฬารักบี้ ช่วยกันนำศพของผู้เสียชีวิตที่ติดอยู่ภายในซากของเครื่องบินออกมาฝัง พวกเขาใช้ชีวิตอย่างอยากลำบากเนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นประกอบกับไม่มีอาหารให้รับประทาน
โดยในเวลานั้นมีเพียงช็อกโกแลต กับน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะไว้ประทังชีวิต หลายวันผ่านไปกลุ่มผู้รอดชีวิตทยอยกันเสียชีวิตมากขึ้น เพราะสาเหตุของการ “ขาดอาหาร”
 

   
ผู้รอดชีวิตลดลงเรื่อยๆ
จนถึงตอนนี้เหลือผู้รอดชีวิต 27 คนจากทั้งหมด 45 คน หนึ่งในผู้รอดชีวิตที่เป็นนักศึกษาแพทย์ จึงเสนอแนวคิดที่จะช่วยให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ต่อไป นั่นก็คือการ “กินเนื้อมนุษย์” จากซากศพของผู้เสียชีวิต แน่นอนว่าแนวคิดนี้เป็นการกระทำที่ชวนสยอง
ผู้รอดชีวิตบางส่วนยอมกินเนื้อมนุษย์และอีกหลายคนไม่ยอมกิน ต่อให้กลุ่มคนที่กินเกลี้ยกล่อมยังไง พวกเขาก็ไม่ยอมกินเด็ดขาด จนบางคนเริ่มเสียชีวิต เพราะไม่ได้กินอาหารเลย ทำให้กลุ่มคนที่ไม่ยอมกินในตอนแรก หันมากินเนื้อมนุษย์เหมือนกับทุกคน เนื้อมนุษย์ที่ได้จะถูกนำไปปิ้งย่าง หรือบางคนกินแบบสดๆ ก็มี
12 ธันวาคม 1972
เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนหลังจากเครื่องบินตก มีผู้รอดชีวิตเหลือรอดทั้งหมด 16 คน จากทั้งหมด 45 คนในตอนแรก

ผู้รอดชีวิตที่เหลือสิ้นหวังจากการรอรับความช่วยเหลือ ทำให้ผู้รอดชีวิต 2 คน ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปหาความช่วยเหลือเอง แม้ความหวังจะค่อนข้างริบหรี่ก็ตาม พวกเขาจัดเตรียมเสบียงที่เป็นเนื้อมนุษย์ย่าง พร้อมกับเสื้อกันหนาวเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่เลวร้าย
 
และแล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น
ในวันที่ 21 ธันวาคม 1972 หลังจากใช้เวลาเดินทางนานถึง 10 วัน พวกเขาก็ได้พบกับชาวนาคนหนึ่ง และนั่นก็ทำให้พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากทางการในเวลาต่อไป
ทั้ง 16 ชีวิตถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน ทั้งหมดปลอดภัยดี ไม่มีใครเสียชีวิตเพิ่มนับตั้งแต่เข้ารับการรักษา เป็นเวลา 72 วันที่เหล่าผู้รอดชีวิต ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต และเชื่อว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์ใดเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้วในชีวิตของพวกเขา
Fairchild FH-227D 

รายการบล็อกของฉัน