Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

การเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาที่น่าทึ่งของเกาะสวรรค์ " Ascension "

การเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาที่น่าทึ่งของเกาะสวรรค์ " Ascension "

หลายพันไมล์จากแทบทุกแห่งหนในใจกลางของมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ มีเกาะภูเขาไฟที่แยกตัวออกมาเรียกว่า " Ascension " เมื่อสองร้อยปีที่แล้ว Ascension เป็นเกาะร้างที่ไม่ค่อยมีเรือแล่นผ่าน ยกเว้นเพื่อเข้ามารวบรวมเต่ายักษ์ (green turtles)และนกที่รอกินมันเพื่อไปเป็นอาหารขณะแล่นเรือไปยังภูมิภาคอื่น

ทุกวันนี้ ยอดเกาะของมันถูกปกคลุมด้วยป่าไม้สีเขียวชอุ่ม การเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งนี้เป็นผลจากการทดลองทางนิเวศวิทยาที่โดดเด่น ซึ่งดำเนินการโดย Joseph Hooker นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษโดยได้รับกำลังใจจาก Charles Darwin ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า ภูมิประเทศที่น่าอัศจรรย์นี้อาจถือกุญแจสู่การล่าอาณานิคมของดาวอังคารในอนาคต

เกาะ Ascension เดิมมีชื่อว่า Conception เป็นเกาะที่ค่อนข้างเล็ก ตามหลักฐานทางธรณีวิทยา เกาะโผล่ขึ้นมาจากมหาสมุทรเมื่อประมาณหนึ่งล้านปีก่อน จากการปะทุของภูเขาไฟที่ยังคงก่อตัวเมื่อพันปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ เกาะส่วนใหญ่จึงถูกปกคลุมไปด้วยดินภูเขาไฟ ทุ่งลาวา ขี้เถ้า พุ่มไม้ และหญ้าเล็กๆ เป็นสิ่งเดียวที่เติบโตขึ้น ที่นี่ก่อนที่มนุษย์จะเข้ามาแทรกแซง

เกาะนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1501 โดยนักเดินเรือชาวโปรตุเกส João da Nova แต่การค้นพบนี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ จนถูกค้นพบอีกครั้งในปี 1503 ในวันเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ (Ascension Day) จึงเป็นที่มาของชื่อเกาะ จนอีก 300 ปีถัดมา เกาะนี้ทำหน้าที่เป็นจุดแวะพักที่มีประโยชน์สำหรับการเดินทางไกล โดยมีบันทึกว่าบนที่สูงด้านในของเกาะมีน้ำพุไหลแรงอยู่ และแหล่งน้ำที่มีขนาดเล็กกว่ามากในบริเวณต่ำกว่าของภูเขา เพื่อให้ลูกเรือสามารถเติมน้ำจืดได้

เกาะนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสำหรับสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้ 

ในแต่ละปีมีเต่ามาเยี่ยมชมประมาณ 5,000 ตัว และเต่าแต่ละตัวจะทำรังโดยเฉลี่ย 6 ครั้งต่อฤดูกาล

รวมทั้ง การเก็บเกี่ยวเนื้อเต่าที่อยู่บนเกาะเพื่อนำมาเป็นเสบียง (เนื่องจากเกาะเป็นที่อยู่ของเต่าเขียวยักษ์และอาณานิคมเพาะพันธุ์นกทะเลขนาดใหญ่) แต่เมื่อตระหนักถึงความสำคัญทางยุทธศาสตร์จากการเนรเทศของ Napoleon Bonaparte มหาราชที่ 1 บนเกาะ Saint Helena ที่อยู่ใกล้เคียง ในปี 1815 กองทัพเรืออังกฤษจึงได้จัดตั้งกองทหารรักษาการณ์ขนาดเล็กขึ้นบนเกาะเพื่อไม่ให้ฝรั่งเศสเข้ามาช่วยเหลือ โดยเกาะถูกกำหนดให้เป็นเรือรบหิน HMS Ascension

เพื่อให้กองทหารอยู่รอดได้ กะลาสีเรือชาวอังกฤษได้ปลูกพืช ผัก และผลไม้ไว้บนดินบางๆ บนยอดเขาตอนกลางที่เรียกว่า " Green Mountain " และยังนำแกะและแพะหลายร้อยตัวมาเลี้ยงเป็นแหล่งของเนื้อ เช่นเดียวกับ วัวและม้า

ต่อมาในปี 1836 Charles Darwin ในวัยหนุ่มใกล้สิ้นสุดการเดินทางอันยาวนานรอบโลกบนเรือ HMS Beagle ได้แวะพักสั้นๆ ที่เกาะ Ascension ต่อจากเกาะ St Helena จริงๆแล้ว Darwin ไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากเกาะนี้ แต่เมื่อเขาก้าวขึ้นไปบนเกาะ เขาต้องประหลาดใจ เมื่อสังเกตเห็นการทำฟาร์มเพาะปลูก - เลี้ยงสัตว์ และวิธีจัดการกับน้ำพุ

Darwin ประทับใจในผลงานของอังกฤษที่ทำให้เกาะ Ascension น่าอยู่ แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นว่าเกาะนี้ไม่มีต้นไม้ แต่เขาก็ให้ความเห็นว่า ทั้งเกาะนี้คือ HMS Ascension เปรียบได้กับเรือรบขนาดใหญ่ที่จัดอยู่ในลำดับชั้นหนึ่ง มีหลายคนมาร่วมแบ่งปันกับความคิดเห็นของ Darwin โดยเฉพาะนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส René Primevère Lesson ที่กล่าวว่า มีเพียงประเทศอังกฤษเท่านั้นที่คิดจะทำเกาะ Ascension ให้เป็นจุดที่มีประสิทธิผล ในขณะที่

ชาติอื่นจะถือว่ามันเป็นเพียงป้อมปราการในมหาสมุทร

ป่าไผ่เขียวชอุ่มบน Green Mountain 

7 ปีต่อมา นักพฤกษศาสตร์และนักสำรวจชาวอังกฤษ Joseph Hooker ได้มาเยือนเกาะแห่งนี้โดย Darwin Hooker ได้แนะนำกองทัพเรืออังกฤษว่าการปลูกพืชบนเกาะจะช่วยดักฝนและปรับปรุงดินให้ดีขึ้น ต้นไม้จะจับความชื้นและลดการระเหย ในขณะที่รากของต้นไม้จะทำลายหินลาวา และสร้างดินที่หนาให้เป็นดินร่วนปนทราย

ดังนั้น เริ่มต้นในปี 1850 ต่อเนื่องมาเป็นเวลาสิบปี กองทัพเรือได้นำเข้าต้นกล้าหลายพันต้น ครอบคลุมมากกว่า 330 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน จากสวนพฤกษศาสตร์ในยุโรป แอฟริกาใต้ และอาร์เจนตินา พืชเหล่านี้ได้รับการคัดเลือกโดยเฉพาะให้ทนต่อสภาพชีวิตที่เลวร้ายบนทะเลทรายภูเขาไฟแห่งนี้ จนกระทั่งในเวลายี่สิบปี ต้นไม้มากกว่า 5000 ต้นได้เริ่มหยั่งราก พวกมันปกคลุมยอดของ Green Mountain ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเกาะด้วยไม้ไผ่อันเขียวชอุ่ม

ในขณะที่ต้นสน Norfolk สูงขนาบข้างตามทางลาด ต้นไม้เหล่านี้ปลูกเพื่อเปรียบเที่ยบว่าเป็นเสากระโดงของเรือเดินทะเล

ด้วยการเปลี่ยนแปลงของพืชพรรณ ภูมิอากาศของเกาะก็เปลี่ยนไปเช่นกัน โดยก่อนการปรับของสภาพภูมิประเทศ แทบจะไม่มีเมฆผ่านเหนือศีรษะเลย และปริมาณน้ำฝนก็น้อยมาก หลังจากเริ่มปลูกพืช ผู้ตั้งถิ่นฐานบนเกาะสังเกตเห็นว่าพายุฝนเริ่มมีบ่อยขึ้น Caroline Power ซึ่งไปเยือนเกาะนี้ในปี 1834 รายงานว่า

" ในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจำนวนมาก เป็นเวลาหลายเดือนที่อยู่กันมา หลายคนที่อาศัยอยู่ตั้งแต่ 3 - 7 ปี รวมทั้งกัปตัน Bateb บอกว่า ไม่มีเมฆใดผ่านมาหรือมีหยดน้ำสักหยด แต่เนื่องจากพื้นที่บนภูเขาได้รับการปลูกต้นไม้มากขึ้น ฝนจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้น และตอนนี้ ทุกวันที่ผ่านไป ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่มีฝนหรือหมอกบนภูเขา ”

ในปี 1926 Green Mountain กลายเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของเกาะ Ascension

มีสัตว์และพืชหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งบางชนิดมีเฉพาะถิ่นในพื้นที่ หากเดินป่าไปตามเส้นทาง Elliot ที่มีชื่อเสียง จะมีโอกาสพบกับสัตว์ป่าในท้องถิ่น

เช่น เต่าและปูบก ต้นสน พุ่มไม้ และหญ้าอ่อนจะช่วยฟื้นคืนความกระปรี้กระเปร่าพร้อมกับวิวภูเขาและอากาศบริสุทธิ์

การพัฒนาของป่าบนเกาะ Ascension ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวัฏจักรของน้ำของเกาะ ก่อนหน้านี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดของเกาะคือ การกักเก็บน้ำ ขณะนี้มีป่าไม้ น้ำฝนไม่ได้ระบายกลับคืนสู่ทะเล แต่ถูกกักไว้โดยดินและป่าของเกาะ ทำให้ต้นไม้ถูกถอนรากถอนโคนและในที่สุด น้ำก็ระเหยออกจากใบ

ไปเพิ่มความชื้นในอากาศ สิ่งนี้สร้างปากน้ำชื้น (ภูมิอากาศขนาดย่อม - Micro climate) ที่ทำให้ภูมิประเทศเย็นลง และเพิ่มโอกาสที่ฝนจะตกมากขึ้น

พืชพรรณของ Green Mountain สามารถแบ่งออกเป็น 3 โซนที่แตกต่างกัน ได้แก่

- โซนที่แห้งและร้อนต่ำกว่า 330 เมตร โดยมีหญ้าเป็นหย่อมๆ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ๆ และต้นไม้หนาม mesquite ขนาดเล็กหรือต้นยาสูบ

- จาก 330 - 630 เมตร มีความครอบคลุมของต้นไม้มากขึ้น รวมทั้งหญ้า กระบองเพชร prickly pear และต้นไม้เช่น ไม้สน juniper ไม้พุ่ม she-oak และ acacia

- ด้านบน 660 เมตร เป็นโซนหมอกชื้นที่มีป่าสมบูรณ์ นอกจากไผ่และต้นสน Norfolk แล้ว ยังมีกล้วย ขิง juniper ราสเบอร์รี่ กาแฟ เฟิร์น ต้นมะเดื่อ และ ไม้พุ่ม Cape Yews ที่ยอดเขามีบ่อน้ำจืดเปิดโล่งซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัวสีฟ้า (Blue Water Lilies) โซนนี้เย็นกว่าที่ราบลุ่มประมาณ 7 องศา ทำให้ผู้อยู่ อาศัย (เกาะนี้มีประชากร 800 คนกระจายอยู่ใน 5 นิคม) และนักท่องเที่ยวสามารถหลีกหนีจากความร้อนตลอดทั้งปีของเขตร้อนได้

ในการอนุรักษ์ Green Mountain ได้นำต้นไทรเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวสำหรับเฟิร์นพื้นเมือง

เพื่อผลักดันความแปลกประหลาดของ Ascension ไปสู่พื้นที่ใหม่ และขยายไปถึงสภาพแวดล้อมทางทะเล

อีกด้านหนึ่ง แม้ว่า Ascension เป็นสถานที่แห่งความแปลกประหลาดที่ยั่งยืน แต่รัฐบาลอังกฤษปฏิเสธสิทธิในการพำนัก การเข้าไปต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากตัวแทนของรัฐบาล มีสนามบินซึ่งเคยเป็นรันเวย์ยาวที่สุดในโลก ออกแบบมาเพื่อรองรับกระสวยอวกาศ ที่ดำเนินการโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ นอกจากนั้น เกาะยังเป็นสถานที่ปล่อยจรวด และติดตามการลงจอดของ Apollo Moon ของ Nasa โดยยอดเขาทั่วทั้งเกาะถูกประดับประดาด้วยเสาอากาศและจานดาวเทียม 

อย่างไรก็ตาม มีบทเรียนสำคัญที่ต้องเรียนรู้จากเกาะ Ascension นี้ นั่นคือ หากป่าเล็กๆ สามารถเปลี่ยนภูมิอากาศของภูมิภาคนั้นได้มากขนาดนี้ ลองนึกภาพว่า การสูญเสียพืชจากแหล่งที่อยู่อาศัยทั่วโลกจะทำอะไรกับสภาพอากาศของโลกได้บ้าง ซึ่งตั้งแต่ปี 1990 โลกได้สูญเสียพื้นที่ป่าไปแล้วประมาณ 420 ล้านเฮกตาร์ ในขณะที่จำนวนประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การสูญเสียพื้นที่ป่าก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นตามกัน แต่ตอนนี้มีข่าวดีอยู่บ้างคือ อัตราการตัดไม้ทำลายป่ามีแนวโน้มลดลงในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา

Dr. Dave Wilkinson นักนิเวศวิทยาที่มหาวิทยาลัย Liverpool John Moores พบว่า ระบบนิเวศที่แปลกประหลาดของเกาะ Ascension นั้นน่าตื่นเต้น

“ สิ่งที่บอกเราคือ เราสามารถสร้างระบบนิเวศที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ผ่านการเกิดอุบัติเหตุหรือการลองผิดลองถูกหลายครั้ง ”

Wilkinson เชื่อว่าเกาะ Ascension เป็นตัวอย่างที่ดีที่สามารถศึกษาแง่มุมต่างๆ ของการสร้างและการทำงานของระบบนิเวศ รวมถึงการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทั่วโลกของมนุษย์

ตามแนวชายฝั่งที่มีความยาวประมาณ 40 กิโลเมตร เกาะ Ascension มีชายหาดห่างไกลออกไปประมาณ 20 แห่ง ท่ามกลางภูมิประเทศที่สวยงาม

และน่าประทับใจ ซึ่งปลอดภัยอย่างสมบูรณ์สำหรับการว่ายน้ำ แต่จะมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

รายการบล็อกของฉัน