Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ศึกห่ากระสุนออตโตมันหวังถล่มเกาะโรดส์ให้ย่อยยับด้วยปืนใหญ่ แต่ทว่าโดนเครื่องดีดหินโต้กลับ

ศึกห่ากระสุน! ออตโตมันหวังถล่มเกาะโรดส์ให้ย่อยยับด้วยปืนใหญ่ แต่ทว่าโดนเครื่องดีดหินโต้กลับ ผลเป็นไง มาดู

ในปี 1480 จักรวรรดิออตโตมันซึ่งในขณะนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ได้ทำการบุกยึดดินแดนต่างๆ ซึ่งนอกจากกองทัพที่มีกำลังไพร่พลมหาศาลแล้ว พวกเขายังมีอาวุธหนักอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ “ปืนใหญ่” ที่ยิงกระสุนที่ทำจากเหล็กออกจากกระบอกด้วยดินปืน ถือว่าเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพ

เกาะโรดส์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณอ่าวเทรียนตา ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิตาลีก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่จะถูกโจมตี กองทัพออตโตมานได้ยกทัพโดยมีกำลังพลกว่า 70,000 นาย หวังบุกยึด

ฝ่ายจักรวรรดิออตโตมันได้ใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มเข้าไปในเมือง ซึ่งทหารอิตาลีนั้นมีอาวุธโจมตีระยะไกลเพียงแค่เครื่องดีดหินซึ่งเป็นอาวุธสุดโบราณไว้ตั้งรับเพียงเท่านั้น หลังจากที่เมืองถูกโจมตีโดยห่ากระสุนปืนใหญ่ไปได้สักพัก 

ฝ่ายทหารอิตาลีก็ได้สังเกตว่าถึงอาวุธชนิดนี้จะมีพลังทำลายมหาศาลแต่ว่ากว่าที่ลูกกระสุนของมันจะลอยเข้ามาปะทะเป้าหมายนั้นใช้เวลาค่อนข้างนาน ทำให้รู้จุดที่มันจะตกล่วงหน้า จึงสามารถสั่งการให้ทหารและประชาชนในเมืองหลบได้ทัน และสั่งให้มีการขุดหลุมเป็นสนามเพลาะเพื่อให้ทหารได้หลบภัยจากลูกกระสุน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทหารอิตาลีจึงได้ทำการโจมตีกลับด้วยเครื่องยิงหินที่มีและที่สร้างใหม่อย่างรวดเร็ว จนปืนใหญ่เสียหายจากนั้นก็ทำการบุกตีโต้กลับด้วยทหารราบ จนสามารถไล่กองทัพของจักรวรรดิออตโตมันกลับไปพร้อมกับความพ่ายแพ้
นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่อาวุธเก่าๆ โบราณสามารถที่จะเอาชนะเทคโนโลยีใหม่ได้ ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ส่งผลให้จักรวรรดิออตโตมันไม่ยุ่งกับเกาะโรดส์อีก จนกระทั่งอีก 40 ปีต่อมาก็ได้กลับมาอีกครั้งและคราวนี้สามารถยึดได้สำเร็จ
จักรวรรดิออตโตมัน
กระสุน
อาณาจักร
กองทัพ
ออตโตมัน

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2564

หน้ากากหินลึกลับสีเขียว อายุ 2,000 ปี ณ ประเทศเม็กซิโก


ค้นหา
การค้นพบนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2011 ทีมนักโบราณคดีเม็กซิโกขุดพบ “หน้ากากแกะสลัก” จากหินเซอร์เพนทีน (Serpentine-หินสีเขียว) อายุกว่า 2,000 ปี ถูกซ่อนไว้ใต้อุโมงค์บริเวณฐานพิระมิดแห่งดวงอาทิตย์ (The Pyramid of The Sun) ณ เมืองเตโอติอัวกัน ประเทศเม็กซิโก

ย้อนไปในปี 2003 เซอร์จิโอ โกเมซ นักวิจัยชาวเม็กซิโก ได้บังเอิญพบอุโมงค์ลับใต้ฐานพิระมิดแห่งดวงอาทิตย์ ในระหว่างภารกิจศึกษาโครงสร้างโบราณ ซึ่งอุโมงค์ดังกล่าวอยู่ลึกลงไปกว่า 10 เมตร และยาวอีกกว่า 90 เมตร ทีมงานต้องใช้เวลากว่า 8 ปีในการขุดอุโมงค์ เนื่องจากอุดตันเพราะตะกอนดิน แต่ก็คุ้มค่าเพราะภายในเต็มไปด้วยวัตถุโบราณ และที่ดูจะโดดเด่นที่สุดก็คือ “หน้ากากหินสีเขียว”

โดยหน้ากากใบนี้มีขนาดเล็กมาก กว้างเพียง 11.5 ซม. สูง 11 ซม. หนา 7.8 ซม. นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นสมบัติของราชวงศ์แห่งเมืองเตโอติอัวกัน จากการวิเคราะห์มีความเป็นไปได้ว่า อาจถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นบูชาก่อนที่จะทำการสร้างพีระมิดแห่งนี้ขึ้น

เซอร์จิโอ โกเมซ พร้อมด้วยทีมนักสำรวจโคเซ ลูบัลคาบา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟิสิกส์นานาชาติ ระบุว่า “เนื่องจากปลายสุดของอุโมงค์พบโครงกระดูกที่อาจเป็นของกษัตริย์แห่งเมืองเตโอติอัวกัน ซึ่งหน้ากากอาจมีต้นแบบมาจากใบหน้าของพระองค์ก็เป็นได้ เพราะเป็นหน้ากากเพียงชิ้นเดียวที่ถูกพบในบริเวณดังกล่าวนั่นเอง” 

นอกจากหน้ากากแล้วยังมีวัตถุโบราณต่าง ๆ อีกมาก เช่น มีดสั้น เปลือกหอยแกะสลัก เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องประดับต่าง ๆ ทั้งหมดถูกเก็บกู้และนำขึ้นมาบูรณะ ปัจจุบันถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาแห่งชาติเม็กซิโก (Museo Nacional de Antropologia)

สำหรับพีระมิดแห่งดวงอาทิตย์ (The Pyramid of Sun) เป็นที่รู้จักในฐานะพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 60 เมตร ฐานแต่ละด้านกว้าง 200 เมตร ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 2,000 ปีก่อน โดยชื่อของ “พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์” ตั้งขึ้นโดยชาวแอซเท็ก (Aztec) ที่มาพบเข้าเมื่อ 700 ปีก่อน

พิระมิดแห่งดวงอาทิตย์ พร้อมด้วยแท่นบูชายัญอีกมากมาย เชื่อว่าแท่นบูชายัญเหล่านี้ ชาวแอซแท็กเป็นผู้สร้างขึ้นในภายหลัง
.
อารยธรรมแอซเท็ก ขึ้นชื่อเรื่องการบูชายัญบ่อยครั้งที่สุดในโลก ถือกำเนิดขึ้นในช่วง ค.ศ.1325 ณ บริเวณตอนกลางของเม็กซิโกในปัจจุบัน ยังรู้จักกันอีกชื่อว่า ชาวเม็กซิกา (Mexica) เพราะเชื่อว่า พวกเขาคือบรรพบุรุษของชาวเม็กซิโก แต่การมาถึงของชาวสเปนในช่วงปี ค.ศ.1517-1521 ก็ทำให้อารยธรรมแอซเท็กล่มสลายลง

นักโบราณคดีเชื่อว่า ในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยรุ่งเรื่องมาก อาจมีประชากรอาศัยอยู่ถึง 200,000 คน แต่ก็ต้องกลายเป็นเมืองร้างเนื่องจากความแห้งแล้งและภัยสงคราม อย่างไรก็ตาม จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะทราบได้ว่า ประชากรที่เคยอาศัยอยู่คือชนเผ่าใด? 
ใครคือผู้สร้างพีระมิด? และเมื่อหลายพันปีก่อน พวกเขาสามารถก่อสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร ? ปริศนาทั้งหมดยังคงรอการเฉลยในอนาคต

Russell-McPherron เอฟเฟ็กต์ รอยแตกของสนามแม่เหล็กโลก


ค้นหา
ในช่วงดึกของวันที่ 16 มีนาคมปีที่แล้วนั้น มีรอยร้าวเปิดขึ้นในสนามแม่เหล็กของโลก 

- มัน ไม่ใหญ่โตอะไร แต่ใหญ่พอที่จะก่อให้เกิดพายุ Geomagnetic ระดับ G1

สิ่งนี้เรียกว่า "Russell-McPherron เอฟเฟ็กต์" ตั้งชื่อตามนักวิจัยที่อธิบายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก รอยแตกนั้นถูกเปิดโดยลมสุริยะนั้นเอง สนามแม่เหล็กที่ชี้ไปทิศใต้อยู่ในลมสุริยะต่อต้านกันกับสนามแม่เหล็กที่ชี้ทิศเหนือของโลก ทั้งสองขั้ว, N กับ S, ได้อ่อนแรงลงบางส่วน,

ทำให้การป้องกันของสนามแม่เหล็กของโลกลดลง การเกิดรอยแตก หรือการล่มของสนามแม่เหล็กโลกนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาตลอดทั้งปี อันที่จริงการศึกษา 75 ปีแสดงให้เห็นว่าเดือนมีนาคมเป็นเดือนที่มีการใช้งานทางธรณีวิทยามากที่สุดของปี 
ให้ติดตามดูตามในเดือนกันยายนถึงตุลาคมนี้ ค้นคำว่า "equinox cracks."

รายการบล็อกของฉัน