Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Glass Beach หาดทรายมหัศจรรย์ ที่เกิดจาก กองขยะ


หาดทรายสุดสวยที่ทุกคนเห็นอยู่นี้ มีชื่อว่า Glass Beach (กลาส บีช) ซึ่งความงามอันน่าดึงดูดทั้งหมดเกิดขึ้นจากกองขยะที่เป็นเศษแก้วจำนวนมหาศาล หลังจากเวลาผ่านไปหลายสิบปี เศษแก้วเหล่านี้ถูกขัดเกลาด้วยกระแสคลื่นลม ผสมเม็ดทรายในท้องทะเล จนกลายเป็นหาดทรายแก้วหลากสีสันสวยงามสะดุดตาอย่างที่ทุกคนเห็น

หาดทรายแก้ว Glass Beach ตั้งอยู่ที่เมือง Fort Bragg ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่แห่งนี้เคยเป็นศูนย์รวมขยะกองโต และในปี ค.ศ.1967 ได้มีการทำความสะอาดครั้งใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถจัดการกับเศษแก้วเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ให้หมดไปได้
เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี เศษเล็กเศษน้อยของแก้วและกระจกต่าง ๆ ที่ฝังรากเป็นอณูแฝงถูกคลื่นลมซัดเข้าทุกวัน

ซึ่งพลังลมแห่งธรรมชาติได้ช่วย แต่ง ซัด ขัด เกลา จนเศษแหลมคมที่มีอยู่เกลื่อนกลาดบนหาด กลายเป็นผลึกแก้วที่ไร้ความคม พวกมันกลมมนสร้างสีสันสวยงามจนเกิดเป็นหาดทรายแก้ว Glass Beach
ปัจจุบัน หาดทรายแก้ว Glass Beach อยู่ในความดูแลของอุทยาน MacKerricher State Park  (อุทยานแมคเคอริคเชอร์) ซึ่งเจ้าหน้าที่จะคอยสอดส่องดูแล 

เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่แอบเก็บหินสีกลับไป จนทำให้ปริมาณหินในหาดทรายเหลือน้อยลง
fact – เกาะมาดากัสการ์ เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก มีขนาดใกล้เคียงกับประเทศสเปน อีกทั้งยังถูกจัดให้เป็น แหล่งวัตถุดิบอัญมณีที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก อัญมณีที่ขุดพบได้ที่นี่มีหลากหลายชนิดทั้งทับทิม ไพลิน บุษราคัม แฟนซีแซปไฟร์ มรกต โทแพซ เพทาย ฯลฯ
Glass Beach

พบแอ่งบูชายัญเด็ก ถูกบูชายัญนับร้อยในทีเดียว-ครั้งใหญ่สุด

ค้นพบ ซากนักโบราณฯ และพบแอ่งบูชายัญเด็ก
(ถูกบูชายัญนับร้อยในที่เดียว-ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์)

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2018 National Geographic ได้เปิดเผยเรื่องราวของคณะนักสำรวจและนักโบราณคดี ที่ได้ขุดค้นพบศพเด็กราวๆ 140 ศพ อายุระหว่าง 5-14 ปี จากการตรวจสอบเบื้องต้นเชื่อว่า ศพของเด็กๆเหล่านี้คือเหยื่อของพิธีกรรมบูชายัญหมู่ในอดีต เมื่อประมาณ 550 ปีก่อน โดยขุดค้นพบ ณ ที่แห่งหนึ่ง ประเทศเปรู (ใกล้เมืองทรูฮีโย เมืองชายฝั่งด้านเหนือของประเทศ)

นอกจากนี้ข้างๆโครงกระดูกเด็ก ยังมีร่างของตัวลามะ และยามา กว่า 200 ตัว ซึ่งทุกตัวมีอายุ
ไม่เกิน 18 เดือน ถูกฆ่าบูชายัญเช่นกัน

เหยื่อมีรอยตัดกระดูก กระดูกสันอก กระดูกตรงกลางหน้าอก กระดูกซี่โครงหลายซี่ รวมถึงมีสิ่งที่บ่งบอกว่าหัวใจของเด็กๆ ถูกควักออกมา และเด็กทุกคนจะต้องถูกทาหน้าให้เป็นสีแดง และเหยื่อผู้นั้นจะต้องเป็นคนแข็งแรงและสุขภาพดี
 ฮาเกน เคลาส์ นักมานุษยวิทยาของมหาวิทยาลัยจอร์จเมสัน เปิดเผยกับ National Geographic ว่าการบูชายัญผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปในยุคสมัยโบราณ ซึ่งสาเหตุที่เด็กๆต้องถูกบูชายัญแทนที่จะเป็นผู้ใหญ่ก็เพราะ เมื่อคนโบราณนำเหยื่อที่เป็นผู้ใหญ่มาบูชายัน เพื่อขอให้สภาพอากาศที่เลวร้ายอยู่ตอนนั้นดีขึ้น เพื่อที่จะได้ทำการเกษตรปลูกผักหรือปลูกข้าว แต่กลับไม่เป็นผล
โครงกระดูกของเหยื่อทั้งหมดถูกจัดวางในลักษณะที่ศีรษะหันไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศของทะเล จึงมีความเป็นไปได้ว่าผู้ปกครองอาณาจักรชิมูในยุคนั้นต้องการจะบวงสรวงเทพเจ้าแห่งน้ำหรือทะเล และภัยธรรมชาติที่คุกคามผู้คนในยุคโบราณอาจไม่ใช่ฝนกระหน่ำ แต่อาจรวมถึงภัยจากทะเล
เช่น ‘สึนามิ’

ซึ่งจากการตรวจสอบคาร์บอนในสิ่งของที่พบ จำพวกผ้า คาดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ น่าจะอยู่ในช่วง ค.ศ.1400-1450 และเมื่อตรวจสอบชั้นโคลนพบว่าพื้นที่ดังกล่าวอาจเผชิญกับฝนตกหนักและน้ำท่วมในพื้นที่แห้งแล้ง จากปรากฎการณ์แผ่นดินไหว

และจากหลักฐานทั้งหมดทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่า หลุมฝังศพและพิธีกรรมนี้ เป็นฝีมือของอาณาจักรชิมูโบราณ ที่บูชาพระอาทิตย์และดวงจันทร์

ต่อมาถูกะอาณาจักรอินคาเข้ายึดครอง จนกระทั่งยุคสมัยผ่านไปจึงถูกสเปนเข้ายึดครองในที่สุด

Credit : burai

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2562

คนอึดตายยากJacob Miller อดีตทหารผู้รอดชีวิตในสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ถูกยิงเข้ากลางหน้าผาก


เรื่องประหลาดชวนอึ้งเมื่องครั้งสงครามกลางเมืองของสหรัฐ ที่คนอเมริกันมีความเห็นไม่ตรงกันนำไปสู่การสู้รบกันเองในสมัยประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น มีทหารอาสารอดชีวิตจากการถูกกระสุนปืนยิงเข้ากลางหน้าผาก

หนึ่งการรบกันเองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา หรือสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1861-1865 ภายหลังจากการที่ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นาน โดยอเมริกาแบ่งแยกกันเป็นสองฝ่ายคือ รัฐทางฝ่ายเหนือ หรือ “รัฐบาลสหรัฐ” ที่ดูแลโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ และรัฐทางฝ่ายใต้เป็นรัฐที่แต่งตั้งด้วยการร่วมตัวกันเป็น “สมาพันธรัฐอเมริกา” 
จำนวน 7 รัฐ

เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะนโยบาย “ยกเลิกทาส” ที่รัฐทางใต้มองว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบเพราะทาสเป็นแรงงานที่จำเป็นอย่างมากในเมืองเกษตรกรรม จึงประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากรัฐบาลสหรัฐฯ ง่ายๆ คือ รัฐทางใต้จะขอปกครองกันเอง ฝ่ายเหนือเอ็งไม่ต้องมายุ่ง

เป็นชนวนนำไปสู่สงครามที่ยืดเยื้อกว่าสี่ปี มีทหารและประชาชนสหรัฐอเมริกาของทั้งสองฝ่ายล้มตายกันเป็นจำนวนมากข้อมูลระบุว่าอาจสูงถึง 620,000 คนและบาดเจ็บอีกนับไม่ถ้วน และหนึ่งในผู้รอดชีวิตของทหารอาสาของฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ คือนายเจคอบ มิลเลอร์ ที่ใครจะเชื่อว่าการยิงปืนเข้ากลางหน้าผากไม่สามารถทำอะไรเขาได้ 

จากการปะทะกับทหารของสมาพันธรัฐอเมริกา ที่สมรภูมิชิคามัวกา (Chikamauga) ในรัฐเวอร์จิเนีย เจคอบถูกกระสุนพุ่งเข้ากลางหน้าผากเต็มๆ ก่อนที่หน่วยของเขาจะถอยทัพกลับไปเนื่องจากคิดว่าเขาเสียชีวิตแล้ว เขาเล่าว่าเขาสลบไปแต่เมื่อตื่นมาก็รู้สึกชาไปพร้อมเลือดอาบไปทั้งตัว และรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายศัตรูจึงพยุงตัวเองแล้วหาหนทางจนเดินกลับไปยังฝั่งตัวเองได้สำเร็จชนิดที่เพื่อนทหารเองก็คาดไม่ถึง

ท้ายที่สุดรัฐทางเหนือ (รัฐบาลสหรัฐฯ) สามารถปราบฝ่ายใต้จนสำเร็จและประธานาธิบดีสหรัฐฯ อับราฮัม ลินคอล์นก็สามารถผลักดันกฎหมายเลิกทาสได้สำเร็จ ภายหลังจากเสร็จสิ้นสงคราม นายเจคอบ มิลเลอร์ได้รับเหรียญรางวัลในวีรกรรมที่กล้าหาญของทหารอาสา และยังคงใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่ได้รับการผ่าตัดกระสุนออกเนื่องจากหมอคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป 

เขาจึงต้องใช้ชีวิตโดยมีกระสุนอยู่ในหัวไปอีก 54 ปี และเสียชีวิตลงด้วยอายุ 77 ปี หากจะเรียกคนไหนว่าตายยากลุงรายนี้ต้องมีชื่อติดอยู่ด้วยแน่นอน

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ข้อมูลใหม่ฉีกตำราเดิม ชี้คนแพร่เชื้อกาฬโรคไม่ใช่หนู


🐹เดิมเชื่อกันว่าหนูเป็นตัวการแพร่เชื้อกาฬโรคในยุโรปยุคกลาง จนทำให้มีผู้คนล้มตายกันหลายล้านคน

ผลการศึกษาล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยออสโลของนอร์เวย์และมหาวิทยาลัยเฟอร์ราราของอิตาลี ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ PNAS ระบุว่า
พบหลักฐานที่ชี้ว่าความเชื่อเรื่องหนูเป็นตัวการแพร่เชื้อกาฬโรคในยุโรปยุคกลางนั้นไม่เป็นความจริง แต่มนุษย์ด้วยกันต่างหากคือพาหะของโรคที่อันตรายยิ่งกว่า โดยกาฬโรคทำให้มีผู้คนล้มตายกันหลายล้านคนในช่วงศตวรรษที่ 14 เรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 19
ก่อนหน้านี้วงการวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์การแพทย์เชื่อว่า หมัดที่อาศัยอยู่กับตัวหนูสามารถกัดและแพร่เชื้อกาฬโรคให้กับคน จนเป็นเหตุให้เกิดโรคระบาดแพร่ไปอย่างรวดเร็ว คร่าชีวิตผู้คนในยุโรปถึง 25 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นจำนวนมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรยุโรประหว่างปี 1347-1351

แต่อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยผู้เสนอผลการศึกษาล่าสุดได้ตรวจสอบข้อสันนิษฐานดังกล่าว โดยใช้ข้อมูลเรื่องการระบาดและการตายของประชากรในเมือง 9 แห่งของยุโรป ที่มีการจดบันทึกไว้เป็นอย่างดีมาวิเคราะห์ จากนั้นได้สร้างแบบจำลองพลวัตรของการระบาดที่เป็นไปได้ 
3 แบบ คือการระบาดจากหนู การระบาดด้วยการแพร่เชื้อทางอากาศ และการระบาดจากตัวหมัดและเหาที่อยู่ตามร่างกายและเสื้อผ้าของมนุษย์ ขึ้นมาใช้ทดสอบข้อมูลเหล่านี้

หนูดำ (Rattus rattus) ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการแพร่เชื้อกาฬโรคมาหลายร้อยปี
ผลการทดสอบข้อมูลที่บันทึกไว้กับแบบจำลองทั้ง 3 แบบพบว่า มีข้อมูลของเมืองถึง 7 ใน 9 แห่ง ที่สอดรับกับวงจรการระบาดจากตัวหมัดและเหาที่อยู่ตามร่างกายและเสื้อผ้าของมนุษย์เอง..

ศาสตราจารย์นีลส์ สเตนเซธ ผู้นำคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยออสโลบอกว่า การติดต่อผ่านปรสิตในมนุษย์จะทำให้เชื้อกาฬโรคระบาดไปได้อย่างรวดเร็วเป็นวงกว้างมากที่สุด เพราะเป็นการแพร่เชื้อจากคนสู่คนโดยตรง ในขณะที่การระบาดจากหมัดหนูจะช้ากว่า เพราะเชื้อต้องไปใช้เวลาผ่านวงจรชีวิตของหนูมาก่อนที่จะมาถึงคน

ผลการวิจัยยังชี้ว่า การป้องกันเหตุกาฬโรคระบาดในอนาคตขึ้นอยู่กับการรักษาสุขอนามัยเป็นสำคัญ รวมทั้งขึ้นอยู่กับการกักกันควบคุมผู้ติดเชื้อ ไม่ให้เที่ยวออกไปแพร่เชื้อให้ผู้อื่นในที่สาธารณะ "หากคุณรู้สึกไม่สบาย ก็ควรจะอยู่กับบ้าน" ศาสตราจารย์สเตนเซธกล่าว
ปัจจุบันยังคงมีการระบาดของกาฬโรคอยู่บ้างในบางพื้นที่ของภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และบางส่วนของทวีปอเมริกา โดยยังคงมีเชื้อกาฬโรคหลงเหลืออยู่ในประชากรหนูแถบนั้น 

องค์การอนามัยโลกระบุว่า ระหว่างปี 2005-2010 มีรายงานผู้ติดเชื้อกาฬโรค 2,348 รายจากทั่วโลก และมีรายงานผู้เสียชีวิตทั้งหมด 584 ราย
เมื่อปี 2001 มีการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อกาฬโรค โดยใช้เชื้อที่ได้จากสัตวแพทย์ผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯเมื่อปี 1992 หลังติดเชื้อกาฬโรคจากแมวที่จามใส่เขา หลังเขาพยายามช่วยมันขึ้นมาจากใต้ถุนบ้าน

ไขปริศนาที่ตั้ง มาชูปิกชู พบจงใจสร้างบนรอยเลื่อนแผ่นเปลือกโลก

นักโบราณคดีต่างสงสัยว่า เหตุใดชาวอินคาจึงเลือกก่อสร้างมาชูปิกชูบนหุบเขาสูงชันและลึกลับแห่งนี้

โบราณสถานอารยธรรมอินคา "มาชูปิกชู" (Machu Picchu) ของประเทศเปรูนั้น นอกจากจะเป็นมรดกโลกที่สวยงามดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกไปเยือนปีละกว่า 1.5 ล้านคนแล้ว เสน่ห์ที่ชวนให้หลงใหลอีกอย่างหนึ่งคือปริศนาเรื่องความเป็นมาและสถานที่ตั้ง ซึ่งยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไร และเหตุใดจึงต้องซ่อนตัวอยู่บนหุบเขาสูงชันยากแก่การเข้าถึง

ล่าสุดมีผู้เสนอผลการศึกษาทางธรณีวิทยา ซึ่งชี้ถึงคำตอบที่เป็นไปได้ว่า ชาวอินคาเลือกบริเวณ "หุบเขาศักดิ์สิทธิ์" ที่มีแม่น้ำอูรูบัมบาโอบล้อมเป็นที่ตั้งสถานที่สำคัญ เพราะมีรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกและรอยแยกของพื้นหินตัดกันเป็นเครื่องหมายรูปกากบาท (X) เช่นเดียวกับเมืองโบราณแห่งสำคัญอื่น ๆ ในจักรวรรดิอินคา
ผลวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมและการตรวจวัดทำแผนที่จากสถานที่จริงยืนยันว่า มาชูปิกชูถูกสร้างอยู่บนรอยเลื่อนและรอยแยกลักษณะดังกล่าว 

โดยรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกบางแนวที่พบมีความยาวถึง 175 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ดร. รูอัลโด เมเนกัต 
นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งริโอกรานเดโดซูลของบราซิล รายงานผลการศึกษาข้างต้นต่อที่ประชุมประจำปีของสมาคมธรณีวิทยาแห่งอเมริกา (GSA) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยชี้ว่าชาวอินคาจงใจสร้างเมืองตามแนวรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่มีเทือกเขาสูงและมีแหล่งหินเก่าแก่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถใช้ในการก่อสร้างได้อย่างสะดวกและเหลือเฟือ โดยไม่ต้องเจาะสกัดและเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น
การสร้างเมืองตามแนวของแหล่งหินธรรมชาติ ทำให้ชาวอินคาสร้างกำแพง ขั้นบันได และตัวอาคารได้ โดยไม่ต้องใช้วิธีก่ออิฐถือปูน แต่ใช้การตัดและเรียงหินแต่ละก้อนให้ทำมุมแนบสนิทกันพอดี 

ซึ่งการก่อสร้างที่ใช้วิธีประณีตเช่นนี้จะสำเร็จลงได้อย่างรวดเร็วและไม่เปลืองแรง ก็จะต้องทำในแหล่งหินที่ใช้เป็นวัสดุเท่านั้น

กำแพงและขั้นบันไดของมาชูปิกชูยังสร้างขึ้นตามแนวรอยแยกของพื้นหิน เพื่อเป็นทางระบายน้ำตามธรรมชาติ
"การเลือกตำแหน่งที่ตั้งของมาชูปิกชูไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างเมืองหรือป้อมปราการบนยอดเขาสูงชันขนาดนั้น หากบนพื้นผิวไม่ได้มีรอยแตกอยู่ก่อนแล้ว" 
ดร. เมเนกัตกล่าว

"การวางแผนผังของกลุ่มอาคารและขั้นบันไดในมาชูปิกชู สอดคล้องกับแนวรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกและเครือข่ายของรอยแยกในพื้นหินอย่างชัดเจน ซึ่งรอยแตกเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นทางระบายน้ำเมื่อเกิดฝนตกหนัก ช่วยป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับสิ่งก่อสร้างได้เป็นอย่างดีอีกด้วย"

มาชูปิกชูตั้งอยู่ในหุบเขาที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,430 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอินคาที่เคยรุ่งเรืองในภูมิภาคอเมริกากลางระหว่างศตวรรษที่ 13-16 นักโบราณคดีบางกลุ่มเชื่อว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นเป็นที่มั่นแห่งท้าย ๆ เพื่อหลบหนีการรุกรานของนักล่าอาณานิคม 
Machu Picchu
บ้างก็เชื่อว่าอาจจะเป็นอารามของนักบวชหญิง, พระราชวังสำหรับจักรพรรดิเสด็จแปรพระราชฐาน, วิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งอาจเป็นสถานที่จำลองตำนานกำเนิดโลกและจักรวาลตามคติความเชื่อของชาวอินคาได้อีกด้วย

พบขวดนมโบราณชี้ทารกหย่านม 5,000 ปีก่อน

การค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกของชีวิตของแม่และเด็กรวมถึงครอบครัวในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการให้อาหารและโภชนาการแก่ทารกในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงมากกับชีวิตของทารกเพราะการตายของเด็กจะสูง และในยุคนั้นที่ยังไม่มียาปฏิชีวนะเป็นสิ่งที่นักวิจัยหลายรายสนใจ เนื่องจากการวิจัยในปัจจุบันเผยว่า นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อจะมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากแบคทีเรียและสามารถแพร่เชื้อโรคจากสัตว์ได้

สิ่งที่น่าสนใจก็คือทารกยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้รับอาหารและเลี้ยงดูอย่างไร แต่เมื่อเร็วๆนี้การพบหลักฐานภาชนะดินเหนียวที่ขุดพบในเยอรมนี นักวิจัยจากวิทยาลัยเคมีของมหาวิทยาลัยบริสตอล ในอังกฤษ ได้ตรวจสอบภาชนะโบราณนี้

โดยวิเคราะห์สารอินทรีย์ตกค้าง สันนิษฐานว่าภาชนะดังกล่าวน่าจะเปรียบเสมือนขวดนมที่ให้เด็กดื่มนมหลังจากหย่านมแม่เมื่อกว่า 5,000 ปีที่แล้ว และเป็นไปได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาในยุคสัมฤทธิ์และยุคเหล็กในทวีปยุโรป ชี้ให้เห็นว่าพ่อแม่ยุคก่อนประวัติศาสตร์อาจไม่แตกต่างจากพ่อแม่ยุคใหม่

และจากการวิเคราะห์ซากโครงกระดูกเด็กจากช่วงเวลานั้น เผยว่ามีการให้อาหารเสริมแก่เด็กทารกเมื่ออายุประมาณ 6 เดือนและหย่านมเสร็จสมบูรณ์เมื่ออายุ 2-3 ขวบ ภาชนะเหล่านี้มีรูปทรงแตกต่างและขนาดเล็กมาก มีพวยกาที่ของเหลวอาจถูกเทออกมาหรือใช้ปากดูดได้ 

ภาชนะลักษณะนี้จะพบเห็นได้ยากในบริเวณขุดค้นซากโบราณคดี อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดถึงการใช้งานจริงของภาชนะว่าใช้กับอาหารประเภทใด

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562

ภูเขาสีรุ้งแห่งเทือกเขาแอนดีส


ชมความงาม ‘ภูเขาสีรุ้ง’ แห่งเทือกเขาแอนดีส แหล่งอารยธรรมโบราณพันปี ของจริงไม่อิงโปรแกรมแต่งภาพ


เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ “ภูเขาสีรุ้ง” ในแถบประเทศจีนกันไปบ้างแล้ว
วันนี้เรามีอีกสถานที่หนึ่งมานำเสนอ ที่มี ภูเขาสีรุ้งเช้นกัน
แถมยังเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ งดงาม และเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณด้วย

ประเทศที่ว่านั้น ก็คือประเทศ “เปรู” สถานที่ตั้งของภูเขาสีรุ้ง
ภูเขา Willkanut
ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีส ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศนั้นเอง
เมื่อไปเยือนประเทศเล็กๆที่มีอารยธรรมสุดงดงามอย่างเปรู  ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปเยี่ยมเยือน

ภูเขา Willkanut บนนเส้นทางท่องเที่ยว ถนน Apu Ausangate
หากใครได้ผ่านไปมักจะหยุดแชะภาพถ่ายรูปกับเทิอกเขาที่มีสีสันสุดน่าประหลาดใจ


ถ้าถ่ายรูปออกมาแล้วเอาไปอวดเพื่อนๆ เชื่อเถอะว่าร้อยทั้งร้อยต้องพูดว่า “ตัดต่อแน่ๆ” 
แต่ว่า ถ้าใครไม่ได้มาเยือนจริงๆ ก็คงไม่เชื่อว่า นี่แหละคือ “ธรรมชาติสร้างจริงๆ” 

สีสันที่สะกดสายตาทั้ง แดง ส้ม ตัดกับท้องฟ้าสีคราม ทำให้ทัศนียภาพนั้นดูเหมือนภาพที่ผ่านปลายนิ้วของนักตัดต่อ มากกว่า ศิลปะที่ธรรมชาติมอบให้

เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่หนาวเย็นแล้วค่อนข้างแห้ง
ทำให้เทือกเขามีลักษณะที่เป็นดินแหละหินสีแดง รวมถึงต้นหญ้าเล็กๆขึ้นประปราย

ซึ่งชาวเมืองในแถบนั้นใช้พืชเหล่านั้นเลี้ยงสัตว์อย่าง ม้า อัลปาก้า และตัวลามะนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2562

นักโบราณคดีจีนพบซาก โรงต้มเหล้า ใหญ่สุดในประเทศ


นักโบราณคดีจีนพบซาก
 ‘โรงต้มเหล้า’ ใหญ่สุดในประเทศ

เหอเฝย, (ซินหัว)
🔜 สถาบันมรดกและโบราณคดีมณฑลอานฮุยทางตะวันออกของจีน เปิดเผยว่าคณะนักโบราณคดีจีนได้ค้นพบซากโรงกลั่นสุราโบราณ ซึ่งสันนิษฐานว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบในประเทศ

รายงานระบุว่าซากโรงกลั่นสุรามีอายุย้อนกลับไปในยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) จนถึงราชวงศ์ชิง
(ค.ศ.1644-1911) ของจีน และถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยกลุ่มคนงานก่อสร้างในอำเภอซุยซี เมืองหวายเป่ยของอานฮุย

เฉินฉาว ผู้ช่วยนักวิจัยประจำสถาบันฯ กล่าวว่าคณะนักโบราณคดีขุดสำรวจพื้นที่ราว 3,000 ตารางเมตรจากทั้งหมด 18,000 ตารางเมตร และค้นพบสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการทำสุรากลั่นในสมัยโบราณ อาทิ เตากลั่น 3 เตา และถังหมักมากกว่า 30 ใบ

ขณะเดียวกันนักโบราณคดียังค้นพบวัตถุโบราณมากกว่า 600 ชิ้น อาทิ ภาชนะเครื่องดื่ม ที่ต่อยาสูบ และขวดยานัตถุ์ โดยปัจจุบันภารกิจการขุดสำรวจซากโรงกลั่นสุราขนาดใหญ่แห่งนี้ยังคงเดินหน้าต่อไป

“นับเป็นซากโรงกลั่นสุราโบราณแห่งที่ 4 ที่คณะนักโบราณคดีจีนขุดค้นพบ ซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือที่ค้นพบในสภาพสมบูรณ์ดีสะท้อนศิลปะความเชี่ยวชาญการทำสุรากลั่นในพื้นที่ตอนเหนือของจีน” เฉินกล่าว
อนึ่ง ก่อนการค้นพบซากโบราณสถานแห่งนี้ มีการค้นพบซากโรงกลั่นสุราโบราณ 2 แห่งในมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ และอีกหนึ่งแห่งในมณฑลเจียงซีทางตะวันออกของจีน

ผ่าชันสูตรร่างมัมมี่หญิงชาวจีนอายุ 2,000 ปีนักวิทย์ฯทั่วโลกต่างทึ่งกับการรักษาสภาพศพ


ผ่าชันสูตรร่างมัมมี่หญิงชาวจีนอายุ 2,000 ปีอันโด่งดัง
ที่นักวิทย์ฯทั่วโลกต่างทึ่งกับ
การรักษาสภาพศพ

     ว่ากันว่า มัมมี่ของสตรีชาวจีนอายุกว่า 2,000 ปี นามว่า "ชินชุ่ย"
(Xin-Zhui ) คือมัมมี่ที่เหนือกว่ามัมมี่ใดๆในโลก แม้แต่อียิปต์เองก็ตาม วันนี้เราจึงขอนำสารคดีการชันสูตรร่างของเธอมาให้ชม 
   "ชินชุ่ย" เป็นสตรีชาวจีนที่เสียชีวิตเมื่อประมาณ 160 ปีก่อนคริสตกาล เธอเป็นถึงระดับภรรยาของขุนนางแห่งไต๋ มัมมี่ของเธอถูกค้นพบครั้งแรกในสุสานที่ภูเขาหม่าหวังตุ้ย

ในปี 1972  ก่อนที่ร่างของเธอจะถูกนำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของมนฑลหูหนาน ศาสตราจารย์เฟิงหลวงเฉียง ได้เป็นผู้นำในการชันสูตรร่างของเธอ อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกยังคงตั้งคำถามว่าบรรพบุรุษจีนโบราณสามารถเก็บรักษามัมมี่ในสภาพดีขนาดนี้ได้อย่างไร
 เธอมีเลือดกลุ่มบี สภาพศพของเธอดูเหมือนจะหดลง และรอยย่นบนผิวหนังบอกให้รู้ว่าในช่วงที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอจะต้องเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างอ้วน มีน้ำหนัก 68 กิโลกรัม ซึ่งสันนิษฐานว่าเธอเป็นคนที่รักการกินทีเดียว

อีกทั้งหลักฐานที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบในบริเวณสุสานของเธอจำนวนกว่า 1,000 ชิ้น จำนวน 2 ใน 3 เป็นอาหารและภาชนะประกอบอาหารแทบทั้งสิ้น


    อย่างไรก็ตามทีมผู้เชี่ยวชาญพบว่า อวัยวะส่วนต่างๆของชินชุ่ย ยังคงสภาพเหมือนเดิม น่าประหลาดใจจริงๆที่ชาวจีนสมัยโบราณรู้จักวิธีรเก็บกษาศพแบบมัมมี่ได้ดีขนาดนี้
แม้แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ยังไม่สามารถเก็บรักษามัมมี่อายุ 2,000 ปีแบบนี้
Xin-Zhui 

พบซากมือมัมมี่ปริศนาที่ว่ากันว่านี่เป็นมือของ ‘มนุษย์ต่างดาว’


เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้ค้นพบซากมือมัมมี่ปริศนา ณ ดินแดนแห่งอาณาจักรอินคา จุดกำเนิดอารยธรรมโบราณที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยปริศนาชวนพิศวง ดินแดนแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการค้นพบสิ่งลี้ลับที่ไม่สามารถหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ได้ 

และการค้นพบซากมือมัมมี่ปริศนาในครั้งนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่า ไม่ใช่ ‘มือ’ ของมนุษย์แต่อย่างใด

เมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2017 ที่ผ่านมา ‘ไบรอัน ฟอร์เอสเตอร์’ (Brien Foerster) นักวิจัยและนักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน ได้เผยแพร่รูปภาพของซากมือประหลาดที่มีนิ้วยาวกว่านิ้วมือของมนุษย์ปกติทั่วไปและมันมีเพียง 3 นิ้วเท่านั้น! ไบรอันอ้างว่า เขาได้รับซากมือปริศนาชิ้นนี้มาจากชนพื้นเมือง 

ซึ่งพบซากมือปริศนานี้ภายในถ้ำแห่งหนึ่งในทะเลทราย ทางตอนใต้ของประเทศเปรู และผลจากการเอ็กซเรย์ซากมือที่ว่า เผยให้เห็นชั้นผิวหนัง และกระดูกข้อต่อของนิ้ว ที่มีจำนวนมากกว่าและยาวผิดมนุษย์!

การค้นคว้าวิจัยเพื่อหาที่มาที่ไปของซากมือปริศนานี้ จะมีขึ้นในอีกไม่ช้าโดย Dr.Julio Cesar Acosta จาก University of São Paulo ประเทศบราซิล หากแต่กว่าที่จะได้รู้ความจริงว่า ซากมือปริศนาคือมือของสิ่งมีชีวิตชนิดไหนกันแน่ บางคนเชื่อว่า ที่ซากของมือมีลักษณะประหลาดเช่นนี้อาจจะเป็นผลจากการทำพิธีกรรมบางอย่างของชาวอินคาในสมัยนั้น เช่น การทรมานร่างกายเพื่อทำพิธีบูชายัญ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่านี่คือซากมือมัมมี่ของ ‘มนุษย์ต่างดาว’ 
เพราะด้วยลักษณะที่ยาวผิดปกติ และพื้นที่ที่ค้นพบซากมือนั้น มีผู้พบเห็น ‘UFO’ เป็นประจำ อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าซากมือนี้คืออะไรกันแน่ ก็ต้องรอจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ต่อไป

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

สนามพลังแม่เหล็กลึกลับแห่ง ลาดัคห์

สนามพลังแม่เหล็ก ลาดัคห์ 
(The Magnetic Hill Of Ladakh)
ในภูมิภาคของลาดัคห์ ใกล้เทือกเขาหิมาลัย มีเนินเขาประหลาดเนินหนึ่งที่ถูกเรียกว่า “ภูเขาสนามพลังแม่เหล็ก”

ที่หากคุณจอดรถของคุณอยู่บนถนน ปล่อยเกียร์ว่าง รอสักพักรถก็จะแล่นไปข้างหน้า (ด้วยความเร็ว 20 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง หรือ 12.4 ไมล์ต่อชั่วโมง) แถมถนนยังเป็นถนน “ขึ้นเขาที่สูงชัน” ซะด้วย
และนี่คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ และสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของนักเดินทาง แน่นอนว่าต้องมีคำอธิบายว่าทำไมเนินแห่งนี้ถึงมีสนามพลังแม่เหล็ก แต่น่าเศร้าที่ทุกอย่างเป็นความลึกลับ
ความจริงอาจเป็นภาพลวงตาของเนินที่ทำให้เห็นถนนนั้นเป็นเนินสูง แต่ความเป็นจริงแล้ว ถนนนั้นต่ำกว่าช่วงที่ขึ้นเนิน มันจึงทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้น (เหมือนเนินเขาพิศวงในจังหวัดแพร่ ในประเทศไทยเรา) ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
(The Magnetic Hill Of Ladakh)

หมู่บ้านต้องคำสาป The Cursed Village Of Kuldhara

หมู่บ้านต้องคำสาปKuldhara 
(The Cursed Village 
Of Kuldhara)
เรื่องราวของหมู่บ้านเก่าแก่กว่า 500 ปีที่มีผู้อยู่อาศัยกว่า
1,500 คน ได้เกิดเรื่องลึกลับขึ้น เมื่อพวกเขาทั้งหมดได้หายไปโดยไม่มีสาเหตุ และไม่ทราบชะตากรรมของคนเหล่านี้ว่าเป็นหรือตาย แน่นอนว่ามีข้อสันนิษฐานมากมาย เป็นต้นว่าพวกเขาอพยพกะทันหัน หรือ
หนีการปกครองที่กดขี่
ไม่ว่าสาเหตุแท้จริงจะเป็นเช่นไร หมู่บ้านนี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วว่าเป็นหมู่บ้านต้องคำสาป ที่อาจมาจากชาวบ้านสาปแช่งเอาไว้ ไม่ให้คนภายนอกมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้

ตามตำนานบอกว่าทุกคนที่เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี้จะตายอย่าง
โหดร้าย และคนที่เสียชีวิตในนั้นก็กลายเป็นวิญญาณหลอกหลอนผู้คน

ซึ่งนักวิจัยอาถรรพณ์..ก็ได้เข้ามาพบประสบการณ์แปลกประหลาดในหมู่บ้านแห่งนี้

ทุกวันนี้หมู่บ้านแห่งนี้ยังคงถูกทิ้งร้างและยังเป็นที่หลอกหลอนคนทั่วไปเหมือนเดิม
หมู่บ้านต้องคำสาปKuldhara 
(The Cursed Village Of Kuldhara)
The Cursed Village Of Kuldhara

เรื่องจริงชวนสยอง เมื่อทีมรักบี้เครื่องบินตกบนภูเขาหิมะ ความหิวโหยทำให้พวกเขาต้อง กินกันเอง

เรื่องจริงชวนสยอง!! เมื่อทีมรักบี้เครื่องบินตกบนภูเขาหิมะ ความหิวโหยทำให้พวกเขาต้อง 
“กินกันเอง”

ในยามคับขันมนุษย์สามารถกระทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด ไม่เว้นแม้กระทั่งการกินเนื้อจากมนุษย์ด้วยกัน เหมือนกับเรื่องราวของนักกีฬารักบี้กลุ่มนี้ที่ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ
จนพวกเขาต้องกินเนื้อคนเพื่อประทังชีวิต และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของพวกเขา

ย้อนกลับไปในวันที่ 13 ตุลาคม 1972ทีมนักกีฬารักบี้จากมหาวิทยาลัย Stella Maris College กำลังออกเดินทางจากเมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย โดยเครื่องบินFairchild FH-227D
พร้อมกับผู้โดยสารคนอื่นๆ เป็นจำนวนรวมทั้งหมด 45 คน เพื่อไปแข่งขันกีฬารักบี้ ที่เมืองซานติอาโก ประเทศชิลี

ภาพถ่ายขณะเดินทางบนเครื่อง สีหน้าทุกๆ คนเต็มไปด้วยความสุข

ระหว่างที่เดินทางสภาพอากาศเลวร้ายมากเครื่องบินไม่สามารถเดินทางในเส้นทางปกติ ทำให้นักบินตัดสินใจบินอ้อมเทือกเขาแอนดีส แต่แทนที่นักบินจะสามารถประคองเครื่องบินผ่านเส้นทางดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย กลับเป็นว่านักบินกับต้องเจอสภาพอากาศที่เลวร้ายไม่ต่างกัน จนกระทั่งเครื่องบินเสียการทรงตัว และตกบนเทือกเขาแอนดีส ที่เต็มไปด้วยหิมะกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ
 
โชคดีที่ผู้โดยสารไม่เสียชีวิตทั้งหมดมีเพียง 12 คนเท่านั้นที่เสียชีวิตทันทีหลังจากเครื่องบินตก ที่ส่วนมากล้วนเป็นทีมนักกีฬารักบี้ ช่วยกันนำศพของผู้เสียชีวิตที่ติดอยู่ภายในซากของเครื่องบินออกมาฝัง พวกเขาใช้ชีวิตอย่างอยากลำบากเนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นประกอบกับไม่มีอาหารให้รับประทาน
โดยในเวลานั้นมีเพียงช็อกโกแลต กับน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะไว้ประทังชีวิต หลายวันผ่านไปกลุ่มผู้รอดชีวิตทยอยกันเสียชีวิตมากขึ้น เพราะสาเหตุของการ “ขาดอาหาร”
 

   
ผู้รอดชีวิตลดลงเรื่อยๆ
จนถึงตอนนี้เหลือผู้รอดชีวิต 27 คนจากทั้งหมด 45 คน หนึ่งในผู้รอดชีวิตที่เป็นนักศึกษาแพทย์ จึงเสนอแนวคิดที่จะช่วยให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ต่อไป นั่นก็คือการ “กินเนื้อมนุษย์” จากซากศพของผู้เสียชีวิต แน่นอนว่าแนวคิดนี้เป็นการกระทำที่ชวนสยอง
ผู้รอดชีวิตบางส่วนยอมกินเนื้อมนุษย์และอีกหลายคนไม่ยอมกิน ต่อให้กลุ่มคนที่กินเกลี้ยกล่อมยังไง พวกเขาก็ไม่ยอมกินเด็ดขาด จนบางคนเริ่มเสียชีวิต เพราะไม่ได้กินอาหารเลย ทำให้กลุ่มคนที่ไม่ยอมกินในตอนแรก หันมากินเนื้อมนุษย์เหมือนกับทุกคน เนื้อมนุษย์ที่ได้จะถูกนำไปปิ้งย่าง หรือบางคนกินแบบสดๆ ก็มี
12 ธันวาคม 1972
เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนหลังจากเครื่องบินตก มีผู้รอดชีวิตเหลือรอดทั้งหมด 16 คน จากทั้งหมด 45 คนในตอนแรก

ผู้รอดชีวิตที่เหลือสิ้นหวังจากการรอรับความช่วยเหลือ ทำให้ผู้รอดชีวิต 2 คน ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปหาความช่วยเหลือเอง แม้ความหวังจะค่อนข้างริบหรี่ก็ตาม พวกเขาจัดเตรียมเสบียงที่เป็นเนื้อมนุษย์ย่าง พร้อมกับเสื้อกันหนาวเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่เลวร้าย
 
และแล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น
ในวันที่ 21 ธันวาคม 1972 หลังจากใช้เวลาเดินทางนานถึง 10 วัน พวกเขาก็ได้พบกับชาวนาคนหนึ่ง และนั่นก็ทำให้พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากทางการในเวลาต่อไป
ทั้ง 16 ชีวิตถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน ทั้งหมดปลอดภัยดี ไม่มีใครเสียชีวิตเพิ่มนับตั้งแต่เข้ารับการรักษา เป็นเวลา 72 วันที่เหล่าผู้รอดชีวิต ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต และเชื่อว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์ใดเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้วในชีวิตของพวกเขา
Fairchild FH-227D 

รายการบล็อกของฉัน