Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559

เรื่องลึกลับ กะห์บะหินดำ ที่นครเมกกะ

รูปกะห์บะหินดำ หินดำที่นครเมกกะ
หินดำ เมืองเมกกะ รูปหินดำ รูปกะห์บะหินดำ หินดำที่นครเมกกะ ความสําคัญของหินดำ ในเมกกะ
*หินดำ - เป็นที่รู้จักกันดี ทั้งมุสลิมและผู้ไม่ใช่มุสลิม...แต่ก็มีอีกหลายคนที่เข้าใจว่า หินดำคือวัตถุบูชาในศาสนาอิสลาม เพียงเพราะเห็นว่า มุสลิมนับล้านคนไปร่วมพิธีฮัจญ์แล้วมีการเวียนรอบวิหารกะบะห์นั้น นั่นคือความเข้าใจที่ผิด...
เราควรมาทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหินดำใหม่ดังนี้หินดำ หรือในภาษาอาหรับ คืออัลฮฺยา อัล อัสวัต นั้นเป็นศิลาที่มีสัณฐาน เป็นรูปครึ่งวงกลม กว้างประมาณ 10 นิ้ว สูง 12 นิ้ว

จากการตรวจสอบโดยนักวิทยาศาสตร์จาก สหรัฐฯ พบว่าหินดำเป็นวัตถุนอกโลก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นก้อนอุกกาบาต ที่มาจากที่อื่น ซึ่งองค์ประกอบและธาตุบางชนิดที่พบ เป็นสิ่งที่ไม่มีในโลก หรือในกาแลคซี่เรานี้

โดยประวัติของหินดำ
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ และอายุที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์นั้น พบว่ามีอายุยาวนานมาก และสีดำของหินนั้นไม่ใช่สีที่มีมาแต่แรกเริ่ม ซึ่งตรงกับหะดิษที่ว่า

- จากท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวความว่า "หินดำถูกประทานลงมาจากสวรรค์ ซึ่งความขาว (ของหินดำนั้น), ขาวยิ่งกว่า (ความขาวของ) น้ำนมเสียอีก, (แต่ที่เปลี่ยนเป็นสีดำเนื่องจาก) ความผิดต่างๆ ของลูกหลานอาดัมทำให้หินดำนั้นเป็นสีดำ" บันทึกโดยติรฺมิซีย์

 ...ซึ่งจากบันทึกประวัติศาสตร์ เข้าใจได้ว่า หินเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะ การที่ชาวอาหรับในสมัยก่อนนั้น ชอบนำสัตว์ไปเชือดบูชายัญบนหิน และเอาเลือดสัตว์ชโลมลงบนหิน พอนานเข้าหินจึงมีสีดำ 

...ถ้าอ้างอิงหลักฐานจากกุรอาน จะพบว่า หินดำนั้นเป็นเครื่องหมายกำหนดตำแหน่งการสร้างวิหารกะบะห์
(วิหารทรงลูกบาศก์ อยู่ตรงกลางมัสยิดอัล -ฮะรอม) ในสมัยท่านนบีอาดัม...ต่อมาในสมัยนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) หินดำก็มีส่วนในช่วยในการบูรณะวิหารกะบะห์ เนื่องจากมีหลักฐานว่า หินดำลอยจากพื้นได้ และท่านนบีอิบรอฮีมก็ขึ้นไปเหยียบบนหินนั้น เพื่อบูรณะวิหาร

...ในช่วงเวลาต่อมาแห่งการตั้งถิ่นฐานของชาวอาหรับ หินดำถูกถือเสมือนว่าเป็น สมบัติของแผ่นดิน (คล้ายตราประทับแผ่นดิน) คืออาหรับเผ่าไหนได้ครอบครอง ก็ถือว่าเผ่านั้นมีอำนาจในการปกครอง และเป็นเผ่าที่มีเกียรติ หินดำจึงกลายเป็นศักดิ์ศรี และเป็นสัญลักษณ์แสดงอำนาจแห่งการปกครองคาบสมุทรอารเบีย
ในต้นศตวรรษที่ 7 เกิดไฟไหม้วิหารกะบะห์ทำความเสียหายให้ตัววิหารเป็นอันมาก อาหรับแต่ละเผ่าจึงพร้อมใจกันบูรณะวิหารใหม่จนเสร็จเรียบร้อย แต่ปัญหาคือ ใครจะเป็นผู้ได้รับเกียรติให้ยกหินดำกลับไปไว้ที่เดิม

...จากความขัดแย้งนี้ ได้ส่งผลให้เกิดข้อสรุปที่ทุกฝ่ายเห็นชอบคือ ให้ท่านนบีมูฮัมมัด(ศ.ล.)
เป็นผู้ยกกลับไปไว้ที่เดิม เนื่องจากในตอนนั้นท่านยังไม่ได้เผยแพร่ศาสนาอิสลาม ประกอบกับเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากทุกฝ่ายว่าเป็นคนมีคุณธรรมและเป็นกลางที่สุด

...ต่อมาเมื่อท่านนบี ประกาศศาสนาแล้ว จนกระทั่งพิชิตเมกกะฮ์ได้ ท่านก็ได้ทำความสะอาดและปรับปรุงวิหารให้กลับมาอยู่ในสภาพเรียบร้อยอีกครั้ง หินดำก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม

...ในปี ค.ศ.682 เกิดความขัดแย้งในคาบสมุทรอาหรับ มีการกรีฑาทัพเข้าตีนครเมกกะฮ์จนวิหารได้รับความเสียหายอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มีผลทำให้หินดำแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ประชาชนได้ทำการซ่อมแซมหินดำหลังจากสงครามจบลง โดยนำลวดเงินมารัดไว้

...หินดำในปัจจุบันจึงมีสภาพที่เหมือนนำเศษหินมาประติดประต่อกัน และรัดไว้ด้วยวงแวนเงิน ถูกวางไว้มุมผนัง อยู่เหนือพื้นดินประมาณ 3 ฟุต

หิินดำกาบะห์
ดังนั้นหากเราพิจารณาด้วยใจเป็นกลาง อาจตั้งข้อสังเกตว่า หากหินดำเป็นสิ่งน่าเคารพ สักการะ หรือเป็นสิ่งบูชาจริง
1.เหตุใด มุสลิมจึงไม่ปกป้องหินดำให้รอดพ้นจากการทำลาย ทั้ง ๆ ที่เขาสามารถปกป้องอาคารหรือมัสยิดที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ กับแค่หินก้อนเดียว ทำไมเขาไม่ปกป้อง

2.หากหินดำเป็นสิ่งเคารพ สักการะ เหตุใด ในสมัยที่ท่านศาสดาอพยพไปมาดีนะห์ ท่านจึงสั่งให้ผู้คนหันทิศกิบลัต (ทิศทางที่หันเวลาละหมาด) ไปทางบัยตุลมักดิส ที่เยรูซาเล็ม แทนที่จะเป็น ที่มัสยิด อัลฮะรอม ซึ่งเป็นที่ตั้งของกะบะห์และหินดำ

3.หากวิหารกะบะห์ หรือหินดำคือสิ่งสักการะบูชาจริง เหตุใด อิสลามจึงอนุญาตให้มุอัซซิน
(ผู้ป่าวประกาศ เวลาละหมาด) ปีนขึ้นไปตะโกน ป่าวประกาศบนหลังคากะบะห์ได้ เพราะนั่นคือการขึ้นไปเหยียบอยู่เหนือหินดำชัด ๆ

4.หากหินดำคือสิ่งสักการะบูชาจริง เหตุใดท่านอุมัรฺ (ผู้เป็นตัวแทนท่านศาสดาคนที่ 2 ) จึงกล่าวความว่า “แท้จริงฉันรู้ว่าเจ้า (หมายถึงหินดำ) คือหินธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่ให้โทษและไม่ให้คุณ, หากว่าฉันไม่เห็นท่านรสูลุลลอฮฺจูบเจ้าแล้วละก้อ ฉันก็จะไม่จูบเจ้า
ความมหัศจรรย์ของกะบะฮ์


รายการบล็อกของฉัน