Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รวยแล้วไม่โกงจริงๆหรือ?

รวยแล้วไม่โกงจริงหรือ?
บทความนี้โดย..ระพี สาคริก
ช่วงที่ผ่านมามีประชาชนกล่าวถึงเรื่อง “คนรวยแล้วไม่โกง” เพราะเชื่อว่ามีเงินมากพอแล้วคงไม่โลภโมโทสัน หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า “ชีวิตผ่านมาถึงจุดที่พอแล้ว” แต่หลังจากเวลาผ่านพ้นมาพอสมควร คนก็เริ่มสงสัยว่าความเชื่อที่มีอยู่ในอดีตนั้นเป็นจริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่ปรากฏมันสวนทางกับความจริง

ผู้เขียนไม่มีเจตนาจะว่าใคร โดยที่ถือว่าใครมีนิสัยเป็นอย่างไรมันก็เป็นธรรมชาติของผู้นั้น อย่างที่กล่าวกันว่าทำดี ไม่ดีก็ได้แก่ตัวเอง แต่การนำเรื่องนี้มาเขียน เนื่องจากประสบการณ์ชีวิตร่วมกับความจริงที่อยู่ในใจมาโดยตลอด มันสอนให้มองเห็นเงื่อนปมซึ่งแฝงอยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง ดังนั้นจึงมีเจตนาที่จะชี้ให้คนเห็นเหตุผลเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับความรู้มากกว่า

เนื่องจากตัวเองมีรากฐานความคิดที่อิสระ ไม่ค่อยจะยึดติดอยู่กับอะไรต่อมิอะไรจากภายนอก ดังนั้นประสบการณ์ที่ผ่านพ้นมาแล้วจึงช่วยให้มีโอกาสมองเห็นความจริงได้ว่า คนไทยส่วนใหญ่ถูกอิทธิพลเงินและวัตถุครอบงำภูมิปัญญา ทำให้ยึดติดอยู่กับรูปแบบซึ่งปรากฏเห็นได้จากภายนอกมากกว่าจะมองทะลุไปเห็นที่มาที่ไปของสิ่งนั้น

ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมักมองความรวยความจนไปยึดติดอยู่กับเงินและรูปวัตถุ แทนที่จะมองเห็นที่มาที่ไปของชีวิตบุคคลในอดีต ว่ากว่าจะมาถึงตรงนั้นควรมีเงื่อนปมต่างๆแฝงอยู่ด้วย

ดังที่เคยกล่าวย้ำไว้เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างควรมองเห็นสองด้าน ด้านหนึ่งคือเงื่อนไขที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง ซึ่งคนลืมตัวมักมองข้ามไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนอีกด้านหนึ่งได้แก่ผลที่ปรากฏจากการกระทำของคน ซึ่งปรากฏเห็นได้จากภายนอก ดังนั้นหากเข้าใจถึงความจริงได้ว่าความรวยความจนไม่มีในโลก ยกเว้นไว้แต่ว่าจะเอาสถานภาพของตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นทำให้เกิดความรู้สึกริษยาเพราะเขามีมากกว่าเรา หรือหยิ่งยโสดูถูกผู้อื่นเพราะเรามีมากกว่าคนอื่น

หากเป็นคนรักศักดิ์ศรีของตัวเอง แม้จะมองเห็นใครมีเงินมากกว่าตัวก็ไม่นำตนไปเปรียบเทียบกับเขา อย่างที่สัจธรรมสอนไว้ว่าจงหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองหรืออีกนัยหนึ่งจงภูมิใจในตัวเอง สิ่งดังกล่าวตรงกับความหมายของคำว่ารู้จักพอ แต่คนเดี๋ยวนี้แม้กระทั่งในระบบการจัดการศึกษาก็มี
บรรยากาศที่หล่อหลอมให้คนแข่งขันกัน เท่ากับสร้างนิสัยให้นำตนเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนยุคนี้จึงมักอิจฉาตาร้อนเห็นใครดีกว่าไม่ได้ แทนที่จะส่งเสริมกันกลับคิดทำลายกัน นอกจากนั้นยังมีการสะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้ทับถมผู้อื่น จึงทำให้สังคมอยู่ไม่เป็นสุข และมีความรุนแรงยิ่งขึ้น

หรืออีกนัยหนึ่งอาจสรุปได้ว่า ยิ่งรวยยิ่งโลภหนักมากยิ่งขึ้น ส่วนผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทองน้อยกว่าก็พยายามหาวิธีที่จะเบ่งตัวเองให้อยู่เหนือผู้อื่น ประสาอะไรกับการกล่าวว่าจะแก้ปัญหาคอรัปชั่น แต่แท้จริงแล้วตัวผู้มีเงินมากนั่นแหละยิ่งสะท้อนพฤติกรรมการปฏิบัติให้ชนรุ่นหลังหรือผู้ที่ด้อยกว่าคิดฉ้อราษฎ์บังหลวงหนักมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์

หากจะเชื่อว่ารวยแล้วรู้จักพอหรือยิ่งรวยยิ่งโลภ ควรมองย้อนกลับไปสู่อดีตของผู้นั้นว่ารวยขึ้นมาเพราะเหตุใดมากกว่าที่จะยึดติดอยู่กับความรวยความจน ผู้มีภูมิปัญญาซึ่งหยั่งรากลงลึกซึ้งคือความจริงซึ่งอยู่ในใจตนเองเท่านั้นที่จะอ่านความจริงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน หากใครจะว่าจิตใจคนอ่านได้ยากคงไม่เสมอไป ทั้งนี้และทั้งนั้นขึ้นอยู่กับบุคคลผู้อ่านจะมีภูมิปัญญาลึกซึ้งแค่ไหน หากลึกซึ้งกว่าย่อมอ่านพฤติกรรมของผู้ที่มีรากฐานจิตใจตื้นกว่าได้ถึงความจริงเสมอ

แต่บุคคลผู้มีภูมิปัญญาลึกซึ้ง ย่อมไม่ดูถูกผู้อื่น แม้จะอ่านความจริงจากใจของผู้ที่ด้อยกว่าตน หากว่ามีน้อยกว่า ย่อมมีความเมตตาสงสารมากกว่าที่จะคิดตำหนิหรือดูถูก

นอกจากนั้นบุคคลผู้มีคุณธรรมย่อมให้จิตใจแก่เพื่อนมนุษย์มาตลอดชีวิตโดยไม่คิดอยากร่ำรวยหรือสะสมทรัพย์สมบัติอะไรไว้มากมายเกินความพอดีที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย

การที่ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นย่อมดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข อีกทั้งไม่คิดที่จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายนัก อย่างที่สัจธรรมได้กล่าวไว้ว่า “จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่”

บางคนอาจโต้แย้งว่า ถ้าพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่สังคมย่อมไม่พัฒนา การกล่าวเช่นนั้นน่าจะยังเป็นผู้ที่โลภมาก เพราะการพัฒนาสังคมหาใช่เอาความโลภเข้าไปผลักดันไม่ เนื่องจากสิ่งที่อยู่ภายนอกย่อมมีโอกาสพัฒนาตัวเองอย่างอิสระอยู่แล้ว ซึ่งสังคมยุคนี้ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งโดยที่รู้ความจริงว่าการพัฒนาที่เอาความโลภเข้าไปใส่ ในที่สุดก็พังทุกราย โดยมีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

เพราะฉะนั้นทุกคนควรทำอย่างดีที่สุดภายในขอบเขตของตัวเอง เช่นที่กล่าวกันว่า “จงเป็นผู้รู้เขารู้เรา” ส่วนผลการพัฒนาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุผล เพราะฉะนั้นการทำอย่างดีที่สุดจึงไม่ต้องเกรงว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่พัฒนา เพราะสิ่งต่างๆ หากมีรากฐานเป็นความจริงย่อมมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองให้เติบโตขึ้นมาได้บนพื้นฐานจิตใจที่อิสระซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งในการจัดการศึกษาของสังคมปัจจุบัน

ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใหญ่ไปมุ่งพัฒนาที่เด็กบนพื้นฐานความทุกข์และความโลภชีวิตอนาคตของเด็กย่อมไม่เสียหาย ทั้งนี้และทั้งนั้นเปรียบเสมือนผู้ใหญ่ยกความสำคัญของจิตใจเด็กไว้เหนือตนเองอยู่เสมอ หาใช่เอาแต่ความคิดตนเป็นที่ตั้งไม่ ดังนั้น การที่ผู้ใหญ่อยู่ร่วมกันกับเด็กควรมีใจเย็นและอยู่อย่างพิจารณาเหตุผลมากกว่า

จึงมีความจริงที่กล่าวไว้ว่า เด็กจะเสียคนก็เพราะผู้ใหญ่ใช้อารมณ์ ความโลภ โกรธ หลง ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นทฤษฎีธรรมชาติ แทนที่จะต้องไปศึกษาหาความรู้เรื่องการจัดการศึกษาจากเมืองนอก แล้วนำกลับเข้ามาอวดตัวว่าฉันเป็นผู้รู้และมีปริญญาสูงๆ ส่วนคนในสังคมก็มักนิยมคนประเภทนี้เสียด้วย เลยทำให้ยิ่งพัฒนาสังคมก็ยิ่งทรุดหนักชีวิตเด็กเลยป่นปี้มากขึ้น และสังคมของผู้ใหญ่ยุคนี้มักโทษเด็ก จึงนิยมใช้อำนาจปราบปรามมากกว่า

ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถในการบริหาร และจัดการบุคคลากรควรเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนสภาพจิตใจคนซึ่งเคยทำเสียหายให้กลับเป็นคนดีมีความคิดที่สร้างสรรค์ได้ แทนการเอาผิดและลงโทษ เพราะสิ่งนี้เป็นเรื่องง่ายเกินไปเหมาะสำหรับผู้ที่ขาดภูมิปัญญา ตามมาด้วยนิสัยมักง่าย ซึ่งคนประเภทนี้ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะคดโกงผู้อื่นอยู่เสมอ

ไม่ว่าจะบริหารงานเรื่องใดย่อมคิดที่จะคดโกงทุกรูปแบบ อย่างที่กล่าวกันว่า สังคมเผลอไม่ได้ คนประเภทนี้จะแทรกเข้าไปเอามาเป็นของตัวโกงได้ทุกรูปแบบ

คนที่ร่ำรวยเงินทองขึ้นมาบนนิสัยอย่างนี้ จะหวังให้รู้จักพอคงเป็นไปได้ยาก อย่างที่กล่าวกันว่า สันดานคนเป็นสิ่งแก้ไขได้ยากจนกว่าจะถูกสังคมลงโทษหนัก บางคนอาจรุนแรงถึงขั้นสังเวยด้วยชีวิตตนเอง ก็พอมีให้เห็นกันแล้ว อย่างที่กล่าวกันว่า กรรมย่อมสนองด้วยกรรมซึ่งเกิดจากการกระทำของตัวเอง สิ่งนี้หาใช่จะบอกอนาคตไม่ได้ แต่ผู้ที่สังคมรังเกียจ หรือถูกคนในสังคมด่าว่าอยู่ทุกขณะย่อมเป็นไปได้อย่างที่มีผู้กล่าวว่า ปากคนศักดิ์สิทธิ์ ถูกแช่งชักหักกระดูกไปนานๆ มักก็เป็นไปตามนั้น ใช่ว่าคำกล่าวนี้จะเป็นเรื่องลมๆแล้งๆก็หาไม่ แต่มีเหตุและผลเชื่อมโยงถึงเงื่อนปมต่างๆ ซึ่งอยู่ในสังคม ดังได้กล่าวมาแล้ว ถ้าจะว่าเป็นเรื่องลึกซึ้งก็คงจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่คิดได้ไม่ยาก นอกจากนั้นบุคคลผู้มีเมตตาธรรมจากใจจริง ย่อมมีใจให้แก่ผู้อื่นมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีทรัพย์สินเงินทองไปบริจาค และเมื่อตนประสบกับภัยพิบัติย่อมไม่คิดรับบริจาคจากใครมากไปกว่าความรับผิดชอบในตัวเอง ซึ่งควรจะรู้สึกอดทนมากกว่า

การบริจาคช่วยเหลือภัยพิบัติของเพื่อนมนุษย์ส่วนใหญ่มักแฝงมาด้วยการเอาหน้าหรือตามกระแสสังคม มากกว่าความจริงใจ หากผู้ที่จริงใจคิดบริจาคย่อมมีเหตุผลบางคนถึงกับไม่ประสงค์ที่จะออกนาม

ในแวดวงการเมืองซึ่งไปลอกเลียนแบบมาจากฝรั่ง เพราะเราขาดการเรียนรู้ที่มาที่ไปของเขามากกว่า จึงไปฉกฉวยปลายเหตุจากเขามาโดยปราศจากการรู้เท่าทัน ทั้งนี้และทั้งนั้นเพราะเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขา และคิดว่าเขาดีกว่าเรา แทนที่จะหยิ่งในตัวเองว่าเรามีพื้นฐานที่มาเป็นของเราเอง น่าจะรู้สึกภูมิใจและคิดว่าของเราก็คือของเรา เมื่อใดนำความเจริญพื้นฐานในด้านวัตถุหรือรูปแบบไปเปรียบเทียบกับเขาดังที่ได้ยินเสมอๆว่า ถ้าไม่ตามโลกให้ทันก็จะสู้เขาไม่ได้ ดังนั้น การจะวางตัวเป็นกลางหรือเดินสายกลางก็คงยาก

หากเอาตัวเองไปเป็นทาสฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ทำให้เกิดผลเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองจนกระทั่งมุ่งไปสู่ภาวะล่มสลายในที่สุด

ดังนั้นผู้เขียนจึงเคยนำเอาเรื่องนี้มาพิจารณาและเขียนไว้ภายใต้หัวข้อความจนความรวยไม่มีในโลกแห่งความจริง ซึ่งในเนื้อหาสาระข้อเขียนเรื่องนี้ได้ชี้แจงเหตุผลไว้อย่างชัดเจนแล้ว

ผู้ที่มีความเป็นคนโดยสมบูรณ์ครบถ้วน ควรหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองมากกว่า แต่คนในสังคมไทยยุคนี้มักรู้สึกว่า การได้อามิสและเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งตนมีโอกาสใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพ หรือมีอำนาจข่มผู้อื่นได้มากเท่าใดก็ยิ่งภูมิใจมากเท่านั้น

นอกจากนั้นยังมีการแสดงความภูมิใจในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น เลี้ยงฉลองแสดงความยินดีในการได้ตำแหน่งลาภยศสรรเสริญ ซึ่งคนประเภทนี้อ่านได้ทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งผู้ที่ได้รับอามิสก็ยินดีที่คนมาชื่นชม ส่วนด้านที่มายินดีก็เท่ากับดันหลังให้คนซึ่งตนคิดว่าควรสนับสนุน ต้องพบกับสภาวะล้มครืนและเกิดความเสียหายในอนาคตเร็วขึ้น

มีผู้เคยกล่าวไว้ว่า คนดีย่อมไม่คิดร่ำรวย นอกจากนั้นการณ์จะรวยเองโดยไม่คิดร่ำรวย ก็ไม่น่าจะมีทรัพย์สมบัติอะไรมากมาย นอกจากผู้ที่ร่ำรวยมาด้วยการคิดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นมากกว่า

สิ่งนี้ควรยอมรับว่า ผู้ที่ดำเนินชีวิตบนทางสายกลางมากกว่า ควรจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตนเอง อีกทั้งถ่ายทอดสู่ชนรุ่นหลัง เพราะทำให้ชนรุ่นหลังรู้สึกศรัทธา

ความศรัทธาเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสื่อความดีความงามให้เชื่อมโยงไปถึงชนรุ่นหลังได้อย่างรู้เหตุรู้ผล นอกจากนั้นตัวผู้ปฏิบัติเอง ย่อมมีความเจริญด้วยสติปัญญาที่สูงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีรากฐานจิตใจที่สามารถหยั่งรู้ความจริงได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วย

ดังนั้น การเชื่อว่าคนรวยแล้วไม่โกงจึงไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือไม่ ถ้ามีสันดานโกงย่อมโกงทั้งนั้น ทำไมจึงเอาความรวยความจนมาผูกติดกับคนโกงไม่โกง ถ้ายังเป็นคนเห็นแก่ตัวย่อมมีรากฐานจิตใจขาดอิสระภาพจึงเอาสองอย่างมาผูกติดกัน นอกจากนั้นถ้าเป็นคนโกงย่อมมีกลอุบายในการหลอกคนได้เก่ง ยิ่งคนไทยส่วนใหญ่ถูกหลอกง่าย เพราะถูกเงินและความทันสมัยของวัตถุทำลาย ย่อมมองเห็นภาวะล่มสลายของสังคมรออยู่เบื้องหน้า...
เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย musa

รายการบล็อกของฉัน