Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2565

พบโครงกระดูกที่ขุดในถ้ำ Liang Teboแสดงให้เห็นว่าการแพทย์ยุคหินล้ำสมัยเกินคาด ตัดขาได้ไม่ติดเชื้อ 31,000 ปีก่อน


พบโครงกระดูกที่ขุดในถ้ำ Liang Teboแสดงให้เห็นว่าการแพทย์ยุคหินล้ำสมัยเกินคาด ตัดขาได้ไม่ติดเชื้อ 31,000 ปีก่อน

😁“มนุษย์เมื่อสามหมื่นปีก่อนทำเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ทั้งยังอาจจะมีระบบดูแลพยาบาลผู้ป่วยและผู้พิการในชุมชนที่ดี จนทำให้คนที่ขาขาดไปแล้วข้างหนึ่ง สามารถดำรงชีวิตในเขตป่าเขาที่สูงชันและรกทึบต่อไปได้”

🧝ทีมนักโบราณคดีชาวอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ขุดพบโครงกระดูกของมนุษย์ยุคหินเก่าที่มีอายุกว่าสามหมื่นปีในถ้ำบนเกาะบอร์เนียว โดยโครงกระดูกนี้มีร่องรอยของการผ่าตัดทางการแพทย์ที่น่าทึ่งปรากฏอยู่

👉🏿โครงกระดูกมีร่องรอยการถูกตัดขาท่อนล่างด้านซ้ายออก

ผลวิเคราะห์โครงกระดูกที่ขุดพบในถ้ำ Liang Tebo เมื่อปี 2020 ในเขตจังหวัดกาลิมันตันตะวันออกของอินโดนีเซีย ชี้ว่าโครงกระดูกดังกล่าวเป็นร่างของชายหนุ่มหรือหญิงสาวอายุประมาณ 19-21 ปี โดยเขาหรือเธอมีร่องรอยการถูกตัดขาท่อนล่างด้านซ้ายออก

สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ รอยตัดกระดูกขาในแนวเฉียงดูเรียบเสมอและประณีตอย่างยิ่ง ปราศจากร่องรอยการติดเชื้อซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดในยุคโบราณ ทั้งยังมีการเติบโตของเซลล์กระดูกใหม่โดยรอบ ซึ่งชี้ว่าคนผู้นี้เคยถูกตัดขาด้วยแพทย์ยุคหินที่มีทักษะการผ่าตัดสูง เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยบางอย่างที่เกิดขึ้นในวัยเด็กหรือวัยรุ่นตอนต้น

🌀รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ระบุว่า ผลการตรวจสอบถ่านไม้ในชั้นดินที่ฝังร่างโครงกระดูกด้วยเทคนิคคาร์บอนกัมมันตรังสี รวมทั้งผลตรวจวัดการสลายตัวของไอโซโทปยูเรเนียมในฟัน และสารเคมีที่หลงเหลือในเคลือบฟัน ชี้ว่าคนผู้นี้เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายยุคหินเก่าเมื่อราว 31,000 ปีก่อน และการตัดขาของเขาหรือเธออาจเป็นการผ่าตัดรักษาทางการแพทย์ครั้งแรก ๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จ

🧙ศาสตราจารย์ แม็กซิเม ออแบรต์ หนึ่งในทีมผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยกริฟฟิธของออสเตรเลียบอกว่า การค้นพบในครั้งนี้พลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับการแพทย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์อย่างมาก

🦍“มนุษย์ยุคหินมีความรู้เรื่องกายวิภาคดีกว่าที่เราคิดกันไว้ การที่คนผู้นี้รอดชีวิตจากการถูกตัดขาในวัยเด็กมาได้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แสดงว่าผู้ทำการผ่าตัดในยุคนั้นต้องมีเครื่องมือหินที่มีประสิทธิภาพ ทั้งต้องรู้จักวิธีห้ามเลือด รวมทั้งอาจจะใช้ยาสมุนไพรที่หาได้ในป่าฝนของเกาะบอร์เนียว เพื่อนำมาฆ่าเชื้อและระงับความเจ็บปวดได้ด้วย”

🌀ในอดีตนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีเชื่อกันว่า มนุษย์ยุคหินไม่สามารถจะรักษาโรคด้วยวิธีทางการแพทย์ที่ซับซ้อน เช่นการผ่าตัดหรือตัดแขนขาของผู้ป่วยออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เกษตรกรรมและการตั้งหลักแหล่งถาวรยังไม่เกิดขึ้น

👉🏿ก่อนหน้านี้หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการตัดแขนขาด้วยเหตุผลทางการแพทย์ ได้แก่ร่องรอยการตัดแขนบริเวณข้อศอกลงมา ซึ่งปรากฏบนโครงกระดูกอายุ 7,000 ปี ของชายชราผู้หนึ่งที่ขุดพบในฝรั่งเศส

🧙ทีมนักโบราณคดีชาวอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ขณะทำการขุดค้นในถ้ำบนเกาะบอร์เนียว

👉🏿ทีมผู้วิจัยกล่าวสรุปว่า “การตัดแขนขาเพื่อรักษาชีวิตในยุคที่ยังไม่มียาปฏิชีวนะนั้น เสี่ยงที่จะล้มเหลวและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการเสียเลือดมาก เกิดภาวะช็อก หรือติดเชื้อรุนแรง แต่กรณีล่าสุดที่เราค้นพบกลับไม่เป็นเช่นนั้น”

👉🏾เป็นยังไงบ้างครับน่าทึ่งแล้วตะลึงผสมความมหัศจรรย์ จริงๆนะเลยครับสำหรับมนุษย์ยุคโบราณที่มีวิวัฒนาการ..ทางการแพทย์ยุคหินล้ำสมัยเกินคาด... ตัดขาได้ไม่ติดเชื้อ 31,000 ปีก่อน

สาระข้อมูลเพิ่มเติม
👉🏾สังคมของมนุษย์ยุคหินเก่าตอนกลาง และยุคหินเก่าตอนปลายมีระยะเวลาที่สั้น ปรากฏอารยธรรมเกิดขึ้นในทวีปยุโรป แอฟริกาและเอเชีย สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนยุคหินเก่าตอนกลางส่วนมากคล้ายกับยุคหินเก่าตอนต้น แต่ก็พบว่าคนยุคหินเก่าตอนกลางบางแห่งมีพัฒนาการมากขึ้น

มีการพบหลักฐานแสดงว่า คนยุคหินเก่าในช่วงปลายมีความสามารถในการจับสัตว์น้ำได้ดี และมีการคมนาคมทางน้ำเกิดขึ้นแล้ว เทคโนโลยีของยุคหินเก่าตอนปลายจะมีขนาดเล็กกว่ายุคหินเก่าตอนต้นและประโยชน์ใช้สอยดีขึ้นกว่าเดิม คนยุคหินเก่าตอนกลางจะมีวัฒนธรรมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่บนภูเขา ตามถ้ำ หรือเพิงผา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่บนพื้นราบ ริมน้ำหรือชายทะเล

🦍วิวัฒนาการของมนุษย์

กะโหลกศีรษะของ Homo heidelbergensis
ดูบทความหลักที่: วิวัฒนาการของมนุษย์
วิวัฒนาการของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของมนุษย์ที่เป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน

ภูมิศาสตร์ดึกดำบรรพ์และสภาพภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของช่วงเวลายุคหินยาวนานถึงสองยุคทางธรณีวิทยาที่รู้จักกันคือ สมัยไพลโอซีน (Pliocene) และ สมัยไพลสโตซีน (Pleistocene) ทั้งสองยุคนี้ได้ประสบการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศที่สำคัญที่มีผลต่อสังคมมนุษย์ ในช่วงระหว่างสมัยไพลโอซีน ทวีปยังคงเลื่อนตัวอาจจะเป็นระยะไกลเท่าที่เป็นไปได้คือ 250 กิโลเมตรจากตำแหน่งที่ตั้งเดิมของพวกเขาไปอยู่ในตำแหน่งเพียง 70 กิโลเมตรจากตำแหน่งที่ตั้งปัจจุบันของพวกเขา ทวีปอเมริกาใต้กลายเป็นที่เชื่อมโยงไปยังทวีปอเมริกาเหนือผ่านคอคอดปานามา

👉🏿 เห็นอย่างนี้..มนุษย์ยุคปัจจุบันนี้รู้สึกอายๆ..เลยนะครับ แสดงว่ามนุษย์ยุคโบราณเขาคงจะมีความคิดที่สร้างสรรค์และทันสมัยมากๆนะครับถึงสามารถกล้าตัดขาตัดแขน คนได้โดยที่ไม่ติดเชื้อเยี่ยมจริงๆครับ🦍

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2565

นักมานุษยวิทยาพบ ฟอสซิลรอยเท้าเด็กยุคน้ำแข็ง ประทับรอยลงในโคลน "พบรอยเท้าเด็กยุคน้ำแข็งในทางเดินสลอธยักษ์โบราณ"


นักมานุษยวิทยาพบ ฟอสซิลรอยเท้าเด็กยุคน้ำแข็ง ประทับรอยลงในโคลน "พบรอยเท้าเด็กยุคน้ำแข็งในทางเดินสลอธยักษ์โบราณ"

🧓เด็กๆทุกคนไม่ว่าจะยุคสมัยไหนยุคหินยุคน้ำแข็งหรือว่ายุคปัจจุบันเด็กๆก็ยังมีสัญชาตญาณชอบเล่นซุกซนอยู่เสมอคราวนี้เป็นข่าวที่แสดงให้เห็นว่าความซุกซนของเด็กนั้นมีมาแต่โบราณ เมื่อเห็นแอ่งน้ำขังหรือบ่อโคลนบ่อน้ำก็มักจะอดใจไม่ได้ ต้องลงไปเหยียบย่ำเตะน้ำกระโดดโลดเต้นเอาขี้โคลนปาใส่หัวกันกระจัดกระจายสนุกสนานเล่นทุกครั้งไป

👉🏿รายละเอียดตามข่าวนี้นะครับนักมานุษยวิทยาได้พบฟอสซิลรอยเท้าของเด็กแก๊งจอมป่วนจากยุคน้ำแข็ง ประทับอยู่ในรอยทางเดินของตัวสลอธยักษ์

ภาพจำลองเหตุการณ์ในยุคน้ำแข็ง ขณะที่เด็ก ๆ กำลังเล่นสนุกในแอ่งน้ำขัง ซึ่งเกิดจากทางเดินของตัวสลอธยักษ์  

😁ความซุกซนของเด็กนั้นมีมาแต่โบราณ เมื่อเห็นแอ่งน้ำขังหรือบ่อโคลนก็มักจะอดใจไม่ได้ ต้องลงไปเหยียบย่ำเตะน้ำให้แตกกระจายเล่นทุกครั้งไป

👉🏿ทำให้นักมานุษยวิทยาได้พบฟอสซิลรอยย่ำเท้าประทับรอยเท้าของเด็กๆแก๊งจอมป่วนจากยุคน้ำแข็ง ประทับอยู่ในรอยทางเดินของตัวสลอธยักษ์ ซึ่งกลายเป็นแอ่งน้ำขังเมื่อฝนตกลงมา

👉🏿ฟอสซิลรอยเท้าของเด็กอายุ 5-8 ขวบ จำนวน 4 คน ถูกพบอยู่ในบริเวณที่เป็นก้นทะเลสาบเก่าซึ่งเหือดแห้งไปนานแล้ว ของอุทยานแห่งชาติไวท์แซนด์ (White sands National Park) ในรัฐนิวเม็กซิโกของสหรัฐฯ โดยสันนิษฐานว่ามีอายุเก่าแก่ระหว่าง 11,700 - 23,000 ปี

ศาสตราจารย์แมตทิว เบนเนตต์ จากมหาวิทยาลัยบอร์นมัธของสหราชอาณาจักร ผู้ค้นพบและศึกษาฟอสซิลดังกล่าวบอกว่า เขาสามารถทราบถึงอายุของเด็กที่เป็นเจ้าของรอยเท้าถึง 30 รอยดังกล่าวได้ ด้วยวิธีนำขนาดของรอยเท้าไปเปรียบเทียบกับข้อมูลการเจริญเติบโตของเด็กยุคปัจจุบัน

รอยเท้าของเด็กยุคน้ำแข็งปรากฏอยู่ในรอยทางเดินของสัตว์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งในกรณีนี้คือตัวสลอธยักษ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน (Nothrotheriops) เมื่อสลอธยักษ์ที่ตัวใหญ่เท่ากับวัวหรือหมีออกเดิน มันจะคลานไปด้วยขาทั้งสี่ โดยเมื่อวางอุ้งเท้าหน้าลงกับพื้นแล้ว ก้าวต่อไปมันจะวางอุ้งเท้าหลังลงในรอยเดิมของอุ้งเท้าหน้า ซึ่งเท่ากับว่ารอยเท้าแต่ละรอยของมันเป็นการประทับรอยซ้ำกันสองครั้ง

อุ้งเท้าสลอธยักษ์ที่มีขนาดประมาณ 40 เซนติเมตร ทำให้เกิดแอ่งดินเล็ก ๆ ที่ลึกเพียง 3 เซนติเมตร แต่เมื่อฝนตกลงมาทำให้น้ำชะล้างหน้าดินและเติมเต็มแอ่งดังกล่าว จนมันขยายกลายเป็นบ่อน้ำโคลนขนาดย่อมที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ

ภาพดิจิทัลทำให้เห็นรอยเท้าเด็กที่ประทับอยู่ในทางเดินของสลอธยักษ์ชัดเจนขึ้น

ศ. เบนเนตต์บอกว่า พบรอยเท้าของมนุษย์โบราณในยุคน้ำแข็ง ทั้งรอยเท้าของเด็กและผู้ใหญ่ได้บ่อยครั้งในอุทยานแห่งชาติไวท์แซนด์ เนื่องจากผู้คนในยุคนั้นดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และเก็บของป่าเป็นหลัก โดยมักจะย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ ระหว่างติดตามร่องรอยของสัตว์เพื่อล่าเป็นอาหาร จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการพาครอบครัวและเด็ก ๆ ติดตามนายพรานไปด้วย

ก่อนหน้านี้ทีมของศ. เบนเนตต์ เคยค้นพบฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์อายุราว 21,000 - 23,000 ปีมาแล้ว อันถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนและเก่าแก่ที่สุด ซึ่งยืนยันถึงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคใหม่ในทวีปอเมริกา

ถ้าย้อนอดีตกลับไปดูภาพเด็กกลุ่มนี้เล่นดินเล่นโคนเตะน้ำกระจัดกระจาย กันคงจะสนุกสนานน่าดูเลยนะครับสภาพแวดล้อมธรรมชาติสมัยยุคน้ำแข็งมันคงจะแปลกตามากๆเลย

🌀สาระข้อมูลเพิ่มเติมยุคน้ำแข็ง
ยุคน้ำแข็ง หรือยุคไครโอจีเนีย (อังกฤษ: Ice Age)เป็นช่วงเวลาที่มีการลดลงของอุณหภูมิอย่างยาวนานบนพื้นผิวและชั้นบรรยากาศโลกและโลกเกือบถึงจุดจบ ทำให้เกิดการขยายตัวของแผ่นน้ำแข็งในผืนทวีป แผ่นน้ำแข็งขั้วโลก และธารน้ำแข็งอัลไพน์ เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง หรือยุคไครโอจีเนีย จะมีหิมะตกลงมาอย่างหนักทั่วผืนผิวโลก ทั้งพื้นดิน และพื้นน้ำ เช่น มหาสมุทรแปซิฟิก เป็นต้น

แผ่นน้ำแข็งที่ขยายระหว่างยุคน้ำแข็ง ภาพนี้เป็นแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติก

🤔เมื่อพื้นผิวมหาสมุทรถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทำให้ใต้ท้องมหาสมุทรไม่ได้รับแสงอาทิตย์ หรือได้รับน้อยมาก และหลังจากนั้นได้มีการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่ขึ้น และพ่นเถ้าถ่านออกมาจากปล่องภูเขาไฟจำนวนมาก ทำให้โลกเกิดปรากฏการณ์โลกร้อน(Global warming)แล้วน้ำแข็ง และหิมะที่ปกคลุมทั่วโลกนั้นได้ละลายกลายเป็นน้ำ เมื่อน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ ทำให้น้ำที่ละลายไปนั้นไหลย้อนกลับขึ้นมาสู่พื้นดินดังเดิม

รายการบล็อกของฉัน