Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นักวิจัย สกสว.เจ๋ง ผลิต ‘มือเทียมกล’ ควบคุมผ่านสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อ เพื่อคนพิการ

นักวิจัย สกสว.เจ๋ง ผลิต ‘มือเทียมกล’ ควบคุมผ่านสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อ เพื่อคนพิการ

นักวิจัย สกสว.เจ๋ง ผลิต ‘มือเทียมกล’.. ควบคุมผ่านสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อ เพื่อคนพิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

นักวิจัย สกสว. ใช้ไอเดียแขนกล ‘ไอรอนแมน’ พัฒนา ‘แพลตฟอร์มมือเทียมกลฯ’ เพื่อคนพิการ โดยมือเทียมกลขึ้นรูปจากพลาสติกด้วยเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทำให้มีราคาถูก-น้ำหนักเบา-แข็งแรง

ส่วนการทำงานใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อซึ่งถูกสั่งการจากสมอง เพื่อออกคำสั่งชุดควบคุมให้มือเทียมกล ‘กำ-แบบมือ’ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ เล็งต่อยอดสู่แพลตฟอร์มขาเทียมกลให้คนพิการขาใช้ในอนาคต

ประเทศไทยมีคนพิการ 3.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 5.5 ของประชากรทั้งหมด และเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวสูงถึงร้อยละ 49.65 ในจำนวนนี้เป็นคนพิการแขนขาขาดกว่า 50,000 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่าอุปกรณ์แขนขาเทียมสำหรับคนพิการแขนขาในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเป็นอวัยวะเทียมเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์มากกว่าที่จะขยับใช้งานได้จริงเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต

ผศ.ดร.นพรัตน์ ธรรมวงษา อาจารย์สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และระบบอัตโนมัติ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และทีมวิจัย พัฒนา ‘โครงการสร้างมือเทียมกลควบคุมผ่านตัวรับสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อ’ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ผศ.ดร.นพรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบันหลายสถาบันทั่วโลกมุ่งพัฒนามือเทียมกลที่ตอบสนองการเคลื่อนไหวแก่คนพิการ

แต่ยังมีราคาที่สูงมาก ยากต่อการเข้าถึง ทีมวิจัยจึงตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรที่จะช่วยพัฒนามือและขาเทียมกลที่สามารถขยับจับอุปกรณ์ต่างๆ ได้จริง เพื่อช่วยให้คนพิการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเอง โดยในงานวิจัยครั้งนี้ได้พัฒนาต่อยอดจากผลงานของกลุ่มนักศึกษาสาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และระบบอัตโนมัติ ที่ได้ทำชิ้นงานเกี่ยวกับ ‘ไอรอนแมน’ แขนกลยอดมนุษย์ในภาพยนตร์ฮอลลีวูด ซึ่งแขนกลเวอร์ชั่นแรกนี้ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ และใช้การควบคุมแบบระบบไร้สาย แต่ยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับการสั่งการของมนุษย์ได้ จึงสนใจต่อยอดให้เชื่อมต่อการสั่งการจากสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อของคนพิการได้จริง

การวิจัยมือเทียมกล ทีมวิจัยได้พัฒนา 2 ส่วน คือ
1. การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนากายอุปกรณ์ในการพิมพ์มือเทียมกลจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ โดยทีมวิจัยออกแบบและใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ พิมพ์มือเทียมกลให้มีความหลากหลายเหมาะกับคนพิการได้แล้ว 10 รูปแบบ (ออกแบบมือเทียมกลฯ ตั้งแต่ข้อมือ กลางมือ ตอข้อศอก และเหนือข้อศอก โดยแบ่งข้างซ้ายกับขวารวมเป็น 10 แบบ) จากเคสคนพิการ 12 ราย ซึ่งนำไปใช้กับคนพิการได้เลย และ
2. การสร้างแพลตฟอร์มสัญญาณควบคุมด้วยการใช้เซ็นเซอร์ตัววัดสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อของคนพิการ เป็นการสร้างแพลตฟอร์มใหม่ที่ทำหน้าที่ตรวจจับสัญญาณสั่งการจากสมอง

เป็นสัญญาณไฟฟ้าผ่านกล้ามเนื้อแขน “การทำงานของมือเทียมกล คือเมื่อคนพิการใส่มือเทียมกลที่ออกแบบไว้ เซ็นเซอร์ตรวจสัญญาณไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อ หรือ Electromyography Muscle Sensor ซึ่งเชื่อมต่อกับมือเทียมกล จะทำการตรวจชุดสัญญาณไฟฟ้าที่ถูกสั่งการจากสมอง และนำมาสั่งการชุดควบคุมของมือเทียมกลให้ทำงาน เช่น ‘กำ-แบบ’ มือ ซึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการแขนให้ดำเนินชีวิตได้ดีขึ้น” ผศ.ดร.นพรัตน์ กล่าวว่า ข้อจำกัดของมือเทียมกลตอนนี้คือ สามารถสั่งการได้ฟังก์ชั่นเดียวคือ การกำ-แบมือ

เนื่องจากกล้ามเนื้อของคนพิการแต่กำเนิดแทบไม่เคยถูกพัฒนามาก่อน หรือแม้แต่คนพิการอุบัติเหตุแขนขาดส่วนใหญ่ ไม่มีมัดกล้ามเนื้อที่จะทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้าที่หลากหลายได้ ตัวอย่างการพัฒนามือเทียมกลครั้งนี้ ทีมวิจัยได้ติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อคนพิการถึง 8 ตัว แต่ตรวจจับสัญญาณได้เพียงจุดเดียวเท่านั้น จึงออกแบบฟังก์ชั่นการทำงานได้เพียงแบบเดียว ซึ่งทีมวิจัยเลือกเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้สั่งการเป็นการกำหรือแบบมือ

เพื่อกำหรือวางสิ่งของ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตประจำวันที่สุด แต่หากในอนาคตคนพิการสามารถพัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานได้มากขึ้น เซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าได้มากขึ้น ก็อาจจะพัฒนาให้สั่งการทำงานแยกนิ้วทั้ง 5 นิ้ว แยกการทำงานฟังก์ชั่นอื่นเหมือนคนปกติได้ เช่น การขยับนิ้ว เป็นต้น


นอกจากนี้แล้ว ทีมวิจัยยังได้พัฒนาชุดเซ็นเซอร์แบบเบ็ดเสร็จให้คนพิการใช้งานได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถสวมมือเทียมกลนี้ใส่แขนได้เลย โดยเสียบสวิตซ์กับมอเตอร์ก็ทำงานได้ทันที ไม่ต้องเขียนโค้ดอะไรเพิ่มเติม ช่วยให้นักกายอุปกรณ์ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการต่ออุปกรณ์ สำหรับการพัฒนาต่อยอดมือเทียมกล ในอนาคตทีมวิจัยเตรียมออกแบบไมโครคอนโทรลเลอร์ให้เซ็นเซอร์และชุดควบคุมอยู่ด้วยกัน และออกแบบแพลตฟอร์มระบบการรู้จำว่ามือเทียมกลสำหรับคนพิการแขนต้องมีฟังก์ชั่นการทำงานอย่างไรบ้าง

ที่สำคัญทีมวิจัยยังมองไปถึงขั้นการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มือเทียมกลเฉพาะบุคคลด้วย เนื่องจากรูปแบบมือเทียมกลกับรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน” อย่างไรก็ดี สำหรับงานวิจัยในแพลตฟอร์มแรก คือการพิมพ์มือเทียมกลด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทีมวิจัยได้เริ่มขยายผลติดตั้งใช้งานจริงที่โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น นอกจากนี้เตรียมวางแพลตฟอร์มให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี รวมทั้ง โรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี ด้วย

ผศ.ดร.นพรัตน์ กล่าวว่า เรามุ่งหวังช่วยเปลี่ยนมือเทียมแบบเดิม ซึ่งเป็นมือเทียมแบบแข็งๆ หรือขาของผู้พิการที่เป็นแบบเหล็กให้เป็นมือเทียมกลที่ออกแบบขึ้น ซึ่งเป็นวัสดุที่พิมพ์จากพลาสติกมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000-2,000 บาท (ไม่รวมตัวชุดควบคุมที่สั่งการให้มือขยับได้) ใช้เวลาในการเปลี่ยนเพียง 1-2 วัน และยังปรับขนาดให้เหมาะสมกับผู้ใช้ได้

อีกทั้งหากคนพิการที่สนใจใส่เซ็นเซอร์ควบคุม ทีมวิจัยสามารถผลิตได้ในราคาไม่ถึงหมื่นบาท ซึ่งมีราคาถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาหลักแสนบาท 

“ไม่เพียงมือเทียมกล ตอนนี้ทีมวิจัยมองไปถึงการพัฒนาเซ็นเซอร์ให้ขาเทียมด้วย เพราะขณะนี้สามารถใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ออกแบบพิมพ์เบ้าอวัยวะขาเทียม ให้มีน้ำหนักเบา แต่ยังคงความแข็งแรงทนทานได้เหมือนอวัยวะขาจริงที่ใช้งานได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบเซ็นเซอร์และฟังก์ชั่นการทำงานของขาเทียมกล หวังว่าจะเป็นการต่อยอดนวัตกรรมที่จะช่วยคนพิการขาได้มากขึ้น

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาว่าทำไมคอนกรีตโรมันโบราณถึงทนทาน

นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาลึกลับว่าทำไมคอนกรีตโรมันโบราณถึงทนทาน

คอนกรีตโรมันโบราณมีอายุยืนยาวนับพันปี แต่ความรู้เชิงลึกด้านกลไกเกี่ยวกับความทนทานเป็นสิ่งที่น่าฉงนสนเท่ห์ เพื่อไขปริศนานี้ นักวิจัยจาก MIT และที่อื่น ๆ ได้วิเคราะห์ตัวอย่างคอนกรีตโรมันจากกำแพงเมืองของเมืองโบราณ Privernum ใกล้กรุงโรม ประเทศอิตาลี Privernum ถูกครอบครองตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตศักราชจนถึงศตวรรษที่ 13 และไซต์นี้ถูกขุดขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 18 โดยมีงานล่าสุดที่ดำเนินการตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน

เป็นเวลาหลายปีที่นักวิจัยสันนิษฐานว่ากุญแจสำคัญในความทนทานของคอนกรีตโบราณนั้นขึ้นอยู่กับส่วนผสมเดียว: วัสดุปอซโซลาน เช่น เถ้าภูเขาไฟจากพื้นที่ปอซซูโอลีบนอ่าวเนเปิลส์

ขี้เถ้าชนิดนี้ถูกส่งไปทั่วอาณาจักรโรมันอันกว้างใหญ่เพื่อใช้ในการก่อสร้าง และได้รับการอธิบายว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับคอนกรีตในบัญชีโดยสถาปนิกและนักประวัติศาสตร์ในเวลานั้น

ภายใต้การตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างโบราณเหล่านี้ยังมีลักษณะแร่สีขาวสว่างขนาดเล็กที่โดดเด่นในระดับมิลลิเมตร ซึ่งได้รับการยอมรับมาช้านานว่าเป็นส่วนประกอบที่แพร่หลายในคอนกรีตโรมัน

ก้อนสีขาวเหล่านี้มักเรียกกันว่าปูนขาว มีต้นกำเนิดมาจากปูนขาว ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักอีกประการหนึ่งของส่วนผสมคอนกรีตโบราณ

“ตั้งแต่ฉันเริ่มทำงานกับคอนกรีตโรมันโบราณ ฉันรู้สึกทึ่งกับคุณสมบัติเหล่านี้มาโดยตลอด” ศาสตราจารย์ Admir Masic จาก MIT ผู้เขียนอาวุโสของการศึกษากล่าว

“สิ่งเหล่านี้ไม่พบในสูตรคอนกรีตสมัยใหม่ แล้วทำไมจึงมีอยู่ในวัสดุโบราณเหล่านี้”

ศาสตราจารย์ Masic และเพื่อนร่วมงานเสนอแนะว่ากลุ่มปูนขาวขนาดเล็กเหล่านี้ทำให้คอนกรีตมีความสามารถในการรักษาตัวเองโดยที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้จัก

“ความคิดที่ว่าการมีอยู่ของเปลือกปูนเหล่านี้มีสาเหตุมาจากการควบคุมคุณภาพต่ำทำให้ฉันรำคาญอยู่เสมอ” ศาสตราจารย์มาซิกกล่าว

“หากชาวโรมันใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างวัสดุก่อสร้างที่โดดเด่น ทำตามสูตรที่มีรายละเอียดทั้งหมดซึ่งได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมตลอดหลายศตวรรษ ทำไมพวกเขาถึงใช้ความพยายามเพียงน้อยนิดในการสร้างผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายที่มีการผสมอย่างดี ? เรื่องนี้ต้องมีอะไรมากกว่านี้”

นักวิจัยได้รับข้อมูลเชิงลึกใหม่เกี่ยวกับฟังก์ชันการทำงานของมะนาวเหล่านี้

ในอดีต สันนิษฐานว่าเมื่อผสมปูนขาวเข้ากับคอนกรีตของโรมัน เริ่มแรกจะผสมกับน้ำเพื่อก่อตัวเป็นวัสดุที่มีลักษณะเหนียวเหนอะหนะซึ่งมีปฏิกิริยาสูง ในกระบวนการที่เรียกว่า slaking แต่กระบวนการนี้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายถึงการมีอยู่ของปูนขาวได้

จากการศึกษาตัวอย่างคอนกรีตโบราณนี้จากเมือง Privernum ในยุคโรมันโบราณ ผู้เขียนได้พิจารณาแล้วว่าการเจือปนสีขาวนั้นแท้จริงแล้วทำมาจากแคลเซียมคาร์บอเนตรูปแบบต่างๆ

และการตรวจสอบด้วยสเปกโทรสโกปีได้ให้เบาะแสว่าสิ่งเหล่านี้ก่อตัวขึ้นที่อุณหภูมิสูง ตามที่คาดไว้จากปฏิกิริยาคายความร้อนที่เกิดจากการใช้ปูนขาวแทนหรือนอกเหนือจากปูนขาวในส่วนผสม

ทีมงานกล่าวว่าการผสมแบบร้อนเป็นกุญแจสำคัญในธรรมชาติที่ทนทานเป็นพิเศษ

“ประโยชน์ของการผสมร้อนมีสองเท่า” ศาสตราจารย์มาซิกอธิบาย

“ประการแรก เมื่อคอนกรีตโดยรวมถูกให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูง จะช่วยให้เกิดเคมีที่ไม่สามารถทำได้หากคุณใช้ปูนขาวเพียงอย่างเดียว ทำให้เกิดสารประกอบที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิสูงซึ่งจะไม่ก่อตัวเป็นอย่างอื่น”

“ประการที่สอง อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นนี้ช่วยลดเวลาการบ่มและเซ็ตตัวได้อย่างมาก เนื่องจากปฏิกิริยาทั้งหมดถูกเร่งขึ้น ทำให้การก่อสร้างเร็วขึ้นมาก”

ในระหว่างกระบวนการผสมแบบร้อน เปลือกปูนขาวจะพัฒนาโครงสร้างอนุภาคนาโนที่เปราะเป็นพิเศษ ซึ่งสร้างแหล่งแคลเซียมที่แตกง่ายและทำปฏิกิริยาได้ง่าย ซึ่งสามารถให้ฟังก์ชันการรักษาตัวเองที่สำคัญ

ทันทีที่รอยแตกเล็กๆ เริ่มก่อตัวขึ้นภายในคอนกรีต รอยแตกสามารถเคลื่อนผ่านกลุ่มปูนขาวที่มีพื้นผิวสูงได้

จากนั้นวัสดุนี้สามารถทำปฏิกิริยากับน้ำ เกิดเป็นสารละลายที่อิ่มตัวด้วยแคลเซียม ซึ่งสามารถตกผลึกใหม่เป็นแคลเซียมคาร์บอเนตและเติมรอยแตกอย่างรวดเร็ว หรือทำปฏิกิริยากับวัสดุปอซโซลานเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับวัสดุคอมโพสิต

ปฏิกิริยาเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และดังนั้นจึงรักษารอยแตกโดยอัตโนมัติก่อนที่จะลุกลาม

การสนับสนุนสมมติฐานนี้ก่อนหน้านี้พบได้จากการตรวจสอบตัวอย่างคอนกรีตโรมันอื่น ๆ ที่แสดงรอยแตกที่เต็มไปด้วยแคลไซต์

เพื่อพิสูจน์ว่านี่เป็นกลไกที่รับผิดชอบต่อความทนทานของคอนกรีตโรมันจริงๆ ทีมงานได้ผลิตตัวอย่างคอนกรีตผสมร้อนที่ผสมผสานทั้งสูตรโบราณและสมัยใหม่เข้าด้วยกัน โดยจงใจทำให้แตกออก จากนั้นให้ฉีดน้ำผ่านรอยแตก

ภายในสองสัปดาห์รอยแตกก็หายสนิทและน้ำไม่สามารถไหลได้อีกต่อไป

คอนกรีตก้อนเดียวกันที่ทำโดยไม่ใช้ปูนขาวไม่เคยสมานตัว และน้ำก็ไหลผ่านตัวอย่างไปเรื่อยๆ

“เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่จะคิดว่าสูตรคอนกรีตที่ทนทานมากขึ้นเหล่านี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานของวัสดุเหล่านี้ได้อย่างไร และยังช่วยเพิ่มความทนทานของสูตรคอนกรีตจากการพิมพ์ 3 มิติได้อย่างไร” ศาสตราจารย์ Masic กล่าว

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

เสียงลึกลับ โฮล์มฟีลด์ฮัม ราวกับเสียงปีศาจ ที่ตามหลอกหลอนหมู่บ้านอังกฤษมานานหลายปี

เสียงลึกลับ โฮล์มฟีลด์ฮัม ราวกับเสียงปีศาจ ที่ตามหลอกหลอนหมู่บ้านอังกฤษมานานหลายปี

เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่ชาวบ้านในโฮล์มฟิลด์ หมู่บ้านในยอร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ ได้รับผลกระทบจากเสียงลึกลับที่ไม่ทราบแหล่งที่มา

ที่น่าสนใจก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ยินเสียงลึกลับดังกล่าว แต่คนที่สัมผัสได้ถึงเสียงลึกลับนี้อ้างว่ามันเป็นเสียงที่มีคลื่นความถี่ต่ำที่รบกวนพวกเขามานานแล้ว ถึงแม้ว่าเสียง ‘ฮัม’ (Hum) นี้จะเคยเป็นพาดหัวข่าวในอังกฤษมาแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เคยมีใครรู้ว่ามันคือเสียงอะไร

มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะดำเนินการตรวจสอบรวมถึงมีการจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อไขปริศนา แต่ความพยายามของพวกเขาก็ไร้ผล 

ชาวบ้านโฮล์มฟิลด์ที่ได้ยินเสียงลึกลับอธิบายว่า มันเป็นเสียงหึ่งของเครื่องซักผ้าหรือเครื่องยนต์ดีเซลเก่า ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้น่ารำคาญมาก แต่พอเวลาผ่านไปมันก็เริ่มส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต อารมณ์ และชีวิตความเป็นอยู่ มันรบกวนการนอนหลับและบางคนถึงกับมีอาการทางประสาทเพราะเสียงนี้

“ฉันรักบ้านของฉันนะ แต่บางวันฉันก็เกลียดการอยู่บ้าน รู้สึกเหมือนฉันไม่มีพื้นที่แห่งความสุขอีกต่อไป” อีวอนน์ คอนเนอร์ หญิงชาวบ้านในโฮล์มฟิลด์กล่าว

“เท่าที่ฉันได้ยินมัน ฉันรู้สึกมันดังไปถึงแก้วหู มันก้องและเหมือนถูกกดเอาไว้ในนั้น มันเกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลา”

ในขณะที่ โซอี มิลลาร์ หญิงชาวโฮล์มฟิลด์อีกคนกล่าวว่า “มันทำให้คุณรู้สึกอ่อนล้าเพราะมันจะแย่ลงในตอนกลางคืน มันแย่มากที่ต้องพยายามข่มตาหลับให้ได้ เรากำลังคิดที่จะย้ายบ้าน แต่ทำไมเราถึงต้องย้ายล่ะ ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของเราเลย”

นอกจากอีวอนน์และโซอี ยังมีชาวบ้านอีกจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินเสียงฮัมลึกลับมาตั้งแต่ปี 2019 แม้ว่าทางเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะพยายามตรวจสอบแหล่งที่มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน

จนถึงตอนนี้ มีสถานที่ต้องสงสัย 3 แห่ง แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่มาของเสียงได้

“เราทุ่มเททุกอย่างให้กับการสืบสวนเรื่องนี้ เพราะเราห่วงใยชาวบ้านท้องถิ่นและเข้าใจถึงผลกระทบของเสียงรบกวนที่เกิดขึ้น” เจนนี ลินน์ สมาชิกสภาเมืองกล่าว

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ยินเสียงฮัมลึกลับ และหมู่บ้านโฮล์มฟิลด์ก็ตั้งอยู่ที่ด้านล่างของหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งชาวบ้านโทษว่าเป็นต้นเหตุของเสียง แต่จากการสอบสวนก็ไม่พบหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน

ในขณะที่ ปีเตอร์ โรเจอร์ส ผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินกล่าวว่า เสียงเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก และในกรณีนี้มันอาจมาจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรมบางอย่างที่มีเพียงบางคนได้ยินเท่านั้น หรือแม้แต่เรื่องธรรมดาอย่างเสียงน้ำไหลผ่านท่อ เสียงจากหม้อแปลงไฟฟ้าหรือเสาโทรศัพท์ก็ตาม

เสียงฮัม (The Hum) ถูกพูดถึงมานานหลายสิบปีแล้วและมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นที่หมู่บ้านโฮล์มฟิลด์ โดยมีการศึกษาตั้งแต่ปี 1973 ที่อ้างว่ามีถึง 50 เคสเกี่ยวกับผู้คนที่บ่นถึง ‘เสียงพื้นหลังที่สั่นต่ำ’ ที่คนอื่นไม่ได้ยิน เสียงที่มีความถี่ระหว่าง 30 ถึง 40 เฮิร์ตซ์ พบว่าจะได้ยินในช่วงที่มีอากาศเย็น มีลมพัดเบา และได้ยินบ่อยครั้งตอนเช้าตรู่ เสียงเหล่านี้มักจะอยู่ในขอบเขตพื้นที่ราว 10 กิโลเมตร

ค้นหา

รายการบล็อกของฉัน