Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2566

เล็บขบมักจะพบในวัฒนธรรมที่สวมรองเท้าและไม่พบในประชากรที่เดินเท้าเปล่าเป็นประจำ


เล็บขบมักจะพบในวัฒนธรรมที่สวมรองเท้าและไม่พบในประชากรที่เดินเท้าเปล่าเป็นประจำ เพราะโรคนี้เกิดจากรองเท้าดันเล็บ


คุณว่าแปลกไหม เล็บขบ มักจะเกิดในวัฒนธรรมที่คนสวมรองเท้ากันแต่จะไม่เกิดหรือพบประชากรที่เดินเท้าเปล่าเป็นประจำ



👉ขอตั้งคำถามก่อนนะครับคุณเคยเป็นเล็บขบหรือไม่
👉และเคยแกะเล็บขบออกมาดมหรือเปล่า😂(ไม่รู้นะครับว่าใครบางคนอาจจะแกะหรือแงะเล็บขบออกมาก็ได้หรือไม่ก็ได้นะครับ)แต่ก็บอกว่าอย่าทำแบบนี้เด็ดขาดเพราะว่ามันจะทำให้เกิดอักเสบและเป็นหนองได้

เล็บขบ หรือ เล็บคุด (อังกฤษ: ingrown nail, onychocryptosis) เป็นรูปแบบทั่วไปของโรคเล็บ เล็บขบมักเป็นสภาวะที่เจ็บปวดซึ่งเล็บโตจนบาดเข้าไปในเนื้อใต้เล็บข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง 

สภาวะนี้พบเฉพาะในวัฒนธรรมที่สวมรองเท้าและไม่พบในประชากรที่เดินเท้าเปล่าเป็นประจำ เพราะโรคนี้เกิดจากรองเท้าดันเล็บลงข้างล่าง

ข้อมูลเบื้องต้น เล็บขบ, บัญชีจำแนกและลิงก์ไปภายนอก ...

สภาพดังกล่าวเริ่มต้นจากการอักเสบของเนื้อใต้เล็บอันเกิดจากจุลินทรีย์ รองจากกรานูโลมา ผลคือ เล็บถูกฝังอยู่ในกรานูโลมา แม้ว่าเล็บขบสามารถเกิดได้ทั้งในเล็บมือและเล็บเท้า 


แต่โดยทั่วไปพบเกิดกับเล็บเท้ามากกว่า เล็บขบแท้เกิดจากเล็บเจาะเข้าไปในเนื้อจริง เล็บขบไม่ควรสับสนกับสภาพของเล็บที่เจ็บปวดอื่น ๆ เช่น เล็บโค้ง (involuted nail) หรือมีตาปลา (corn) หนังหนาด้าน (callus) หรือเศษอยู่ใต้ร่องเล็บ (nail sulcus) หรือแผ่นเล็บ (nail plate)  นอกจากนี้ยังไม่ควรสับสนกับความผิดปกติของเล็บที่คล้ายกันอย่างเล็บนูน (convex nail) 


อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายใครที่กำลังเป็นเล็บขบอยู่กรุณารักษาเล็บของคุณให้สะอาดเพราะอาจจะติดเชื้อได้และเจ็บปวดทรมานนะครับ วันนี้ขอเป็นกำลังใจให้กับคนเป็นเล็บขบนะครับขอให้หายไวๆถ้าใครกำลังเป็นเล็บขบอยู่




ทางที่ดีควรไปหาแพทย์รักษาเล็บขบนะครับ

วันอังคารที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2566

โซโคตรา Socotra เกาะแสนประหลาด

โซโคตรา Socotra
เกาะ Socotra ได้ชื่อว่าเป็นเกาะที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก แค่ดูจากภาพก็คงจะรู้แล้วว่าทำไม ทิวทัศน์รกร้าง กับต้นไม้รูปร่างหน้าตาแปลกๆ เหมือนกับหลุดออกมาจากดาวดวงอื่น นี่คือธรรมชาติที่น่าตื่นตาของเกาะโดดเดี่ยวที่มีอายุกว่า 6 ล้านปี

เกาะโซโคตร้า 
Socotra Island)   เป็นเกาะเล็กๆในมหาสมุทรอินเดีย เป็นเกาะที่มีความสวยงามของประเทศเยเมน อยู่ห่างจากประเทศโซมาเลีย 250 กิโลเมตร

โดยเกาะสุดแสนประหลาดแห่งนี้ เป็นเกาะที่มีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน ความหลากหลายทางภูมิทัศน์ และยังมีพืนพันธ์ที่ค่อนข้างแปลกตา จึงส่งผลให้เกาะแห่งนี้มีความโดดเด่น และน่าสนใจไม่แพ้เกาะอื่นๆ
เกาะโซโคตร้า เป็นสถานที่รวมแห่งพืชพรรณแปลกประหลาดหลายชนิด 
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้รูปทรงแปลกๆ อย่างต้น “กุหลาบแห่งทะเลทราย 
(Desert Rose) และต้น เลือดมังกร (Dragon’s Blood Tree) ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดได้ กับสายพันธ์ที่อายุกว่า 20 ล้านปี ซึ่งยังถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี 

นอกจากนั้น ยูเนสโก (UNESCO) ยังทำการขึ้นทะเบียนให้เกาะโซโคตร้า เป็นมรดกโลกในเดือนกรกฎาคม ปีค.ศ. 2008 อีกด้วย
เกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งในสี่ของเกาะที่แยกจากแผ่นดินใหญ่แอฟริกาในช่วง 6 หรือ 7 ล้านปีก่อน เช่นเดียวกับหมู่เกาะกาลาปากอส โดยเกาะนี้อุดมไปด้วยทั้งพืชและสัตว์กว่า 700 ชนิด และกว่า 1 ใน 3 ก็มีลักษณะที่ไม่สามารถพบที่ไหนใน

"ต้นเลือดมังกร" 


ด้วยสภาพอากาศที่รุนแรงทั้ง ร้อนแห้ง แต่ก็น่าประหลาดใจที่มีพืชและสิ่งมีชีวิตที่ยังดำรงอยู่ได้ เกาะโซโคตร้าอยู่ในมหาสมุทรอินเดียห่างจากโซมาเลีย 250 กิโลเมตร ห่างจากประเทศเยเมน 340 กิโลเมตร ชายหาดกว้าง มีถ้ำหินปูนอยู่มากมายและภูเขาที่สูงถึง 1,525 เมตร

Socotra Island)

โรคแปลกๆเกิดขึ้นมากมาย ที่เราอาจจะไม่เคยรู้จักเลยก็ได้ เช่นโรคนี้ที่มีชื่อว่า โรคลุดวิก แองไจนา

ทุกๆวันโลกเรา จะมีโรคแปลกๆเกิดขึ้นมากมาย ที่เราอาจจะไม่เคยรู้จักเลยก็ได้ เช่นโรคนี้ที่มีชื่อว่า โรคลุดวิก แองไจนา

👉🏿โรคลุดวิก หรือ ลุดวิก แองไจนา (อังกฤษ: Ludwig's angina)) เป็นเซลลูลิทิสรุนแรงรูปแบบหนึ่งที่มีการอักเสบที่ส่วนพื้นของปาก อาจส่งผลต่อความลำบากในการกลืนน้ำและน้ำลาย และอาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ข้อมูลเบื้องต้น โรคลุดวิก, ชื่ออื่น ...

การบวมของส่วนซับแมนดิบูลาร์ในผู้ป่วยลุดวิกแองไจนา

สาขาวิชาโสตศอนาสิกวิทยา, ศัลยกรรมช่องปากและใบหน้าขากรรไกร

อาการไข้, ปวด, ลิ้นหนา, มีปัญหากับการกลืน, คอบวมโต

ภาวะแทรกซ้อน การกดทับทางหายใจ

การตั้งต้นฉับพลัน ปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อในฟัน

วิธีวินิจฉัยตามอาการ, ซีทีสแกน

การรักษายาปฏิชีวนะ, คอร์ติโคสเตอรอยด์, สอดท่อหายใจทางเทรเคีย, ทราเคโอสโตมี

👉🏿กรณีส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามหลังการติดเชื้อในฟัน นอกจากนี้ยังพบกรณีที่เกิดจากหนองพาราฟาริงซ์, การแตกหักของกระดูกแมนดิบูลาร์, แผลในปาก หรือจาก นิ่วน้ำลายซับแมนดิบูลาร์ โรคลุดวิกเป็นผลจากการกระจายของการติดเชื้อในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผ่านช่องว่างเนื้อเยื่อกับช่องว่างสับลิงกวล

โรคนี้ป้องกันได้ด้วยการรักษาการติดเชื้อที่ฟัน การรักษาแรกด้วยยาปฏิชีวนะแบบกว้าง และ คอร์ติโคสเตอรอยด์ ในกรณีที่สาหัสอาจต่อท่อหายใจ หรือ ทำทราเคโอสโทมี

ภายหลังการแพร่หลายของยาปฏิชีวนะในทศวรรษ 1940s, การปรับปรุงความสะอาดของช่ิงปากในประชาชน และการรักษาด้วยหัตถการที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาก อัตราเกิดโรคและอัตราเสียชีวิตในผู้ที่ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ชื่อลุดวิกตั้งตามแพทย์ชาวเยอรมัน Wilhelm Frederick von Ludwig ผู้เขียนอธิบายถึงโรคนี้ครั้งแรกในปี 1836

👉🏿ยังดีนะครับที่โรค Ludwig's angina นี้ยังพอมีวิธีการรักษาได้ ป้องกันได้...ไม่เหมือนโรคไวรัสโควิดที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ สารพัดไวรัสติดแล้วติดอีกขนาดฉีดวัคซีน4-5 เข็ม ยังติดไวรัสโควิดได้อีก งงไหมล่ะครับ

วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ตะกวดเหลือง


วันนี้เผอิญไปเจอเรื่องสัตว์นะครับก็เลยอยากมานำเสนอแต่มันเป็นพวกตะกวดนะครับที่มันแปลกก็คือถ้าตะกวดธรรมดามันก็คงไม่แปลกนะครับแต่นี้มันคือตะกวดเหลืองครับYellow monitor 

ตอนนี้มีตะกวดเหลืองอีกสักพักนึงก็ต้องมีตะกวดแดง มันก็เป็นธรรมชาตินะครับ
ก็ต้องมีตรงข้ามกันระหว่างถ้ามีสีเหลืองก็ต้องมีสีแดงถ้ามีสีดำก็ต้องมีสีขาวนะครับ


ตะกวดเหลือง (อังกฤษ: Yellow monitor; ชื่อวิทยาศาสตร์: Varanus flavescens) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในวงศ์ตะกวด (Varanidae) ชนิดหนึ่ง


ข้อมูลเบื้องต้น ตะกวดเหลือง, สถานะการอนุรักษ์ ...
มีรูปร่างคล้ายสัตว์ในวงศ์นี้ทั่วไป แต่มีนิ้วเท้าที่สั้น และพื้นลำตัวสีเหลือง อีกทั้งมีพฤติกรรรมไม่ชอบอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือที่ชื้นแฉะเหมือนเหี้ย (V. salvator) โดยจะอยู่เฉพาะที่แห้งแล้งหรือพื้นทราย มีขนาดประมาณ 70-100 เซนติเมตร วางไข่จำนวน 30 ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 149-155 วัน


มีรายงานเคยพบในประเทศไทยในภาคใต้และภาคตะวันตกเมื่อนานมาแล้ว สถานภาพปัจจุบันพบมากใน อินเดีย, เนปาล, บังกลาเทศ และปากีสถาน

ยังมีชื่อเรียกอื่น อีก เช่น "แลนดอน" เป็นต้น

ก่อนจะจบบทความนี้นะครับเราก็ได้นำเสนอเรื่องตะกวดเหลืองเป็นสาระความรู้พอประมาณนะครับหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะได้รับความรู้มากพอสมควรนะครับ

หนุ่มรัฐเซียฉายาป๊อบอาย กำลังเสี่ยงเสียแขนหลังต้องผ่าตัดเอาก้อนที่ฉีดเข้าแขนออก


หนุ่มรัฐเซียฉายาป๊อบอาย กำลังเสี่ยงเสียแขนหลังต้องผ่าตัดเอาก้อนที่ฉีดเข้าแขนออก

ตัวการ์ตูนป๊อปอายที่มีแขนและมีกล้ามใหญ่โตนะน่ะมันเป็นแค่จินตนาการเพ้อฝันของคนที่สร้างการ์ตูนขึ้นมา


แต่ก็ยังมีคนที่อยู่ในชีวิตจริงอยากมีสรีระแขนกล้ามใหญ่ๆแบบป๊อปอายในการ์ตูนนะครับถึงกับเอาสารเคมีเช่น“ปิโตรเลียมเจลลี”ฉีดใส่เข้าไปเพื่อจะเพิ่มกล้ามให้ดูใหญ่โตมโหฬาร 


แล้วเป็นยังไงล่ะครับผลเสียก็ออกมาว่า“ปิโตรเลียมเจลลี”ที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อนั้นจะทำให้เกิดปฏิกิริยากับร่างกายด้านลบจนถึงขั้นอาจจะต้องตัดแขนทิ้ง  หรือแขนเน่าพิการงอยเสียแขน 

ดีไม่ดีอาจจะตายได้ด้วยซ้ำนี่จึงเป็นข่าวที่ตามมา ลองมาดูกันนะครับว่านายคนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปแขนจะเน่าไหมจะมีแก้ทางแก้ไขหรือไม่อยากเป็นป๊อปอายแต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว


ป๊อบอาย ถือเป็นตัวการ์ตูนที่ผู้ใหญ่ในยุคนี้คุ้นเคยกันดี โดยมีจุดเด่นที่กล้ามแขนของเขา แต่คุณเคยคิดหรือไม่ว่าจะมีใครบนโลกนี้ที่มีป๊อบอายเป็นไอดอล และอยากจะมีกล้ามแขนแบบนั้นจริง ๆ

นี่คือเรื่องราวของ คิริลล์ เทเรชิน หนุ่มชาวรัสเซียวัย 25 ปี ที่ตัดสินใจฉีดก้อน “ปิโตรเลียมเจลลี” ลงไปในแขนของเขาเมื่อหลายปีก่อนเพื่อให้ตัวเองมีกล้ามแขนที่ใหญ่โตมหึมาและดูแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น จนเขาได้รับฉายาว่า “ป๊อบอายในชีวิตจริง”

แต่ความเท่ของเขากำลังจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะแพทย์ได้ออกมาเตือนคิริลล์ว่าเขามีความเสี่ยงที่จะสูญเสียแขนหรืออาจรุนแรงถึงชีวิต หากเขายังคงเก็บก้อนเจลลีนี้เอาไว้ในแขน


ดิมิทรี เมลนิคอฟ ศัลยแพทย์ชาวรัสเซียได้ออกมาเตือนเขาว่า ความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนกับแขนของเขา

“สารพิษในร่างกายในระยะยาวสามารถส่งผลให้ไตวายจนนำไปสู่การเสียชีวิต” ดิมิทรีกล่าว

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดิมิทรีได้ทำการผ่าตัดแก้ไขแขนของเขามาแล้วหลายครั้ง ทั้งการทำความสะอาดสิ่งที่อุดตัน การตัดกล้ามเนื้อที่ตายแล้วออก และระบายของเหลวส่วนเกินที่ทำให้แขนของเขาบวมขึ้นซึ่งเกิดจากสารพิษในร่างกาย

เมื่อปีที่แล้ว คิริลล์กล่าวว่า “ผมอายุแค่ 24 ปี และระบบภูมิคุ้มกันของผมกำลังรับมือกับการอักเสบนี้ แต่ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”


ปัจจุบัน คิริลล์เริ่มตระหนักถึงผลกระทบว่าตนเองอาจสูญเสียแขนไป เขากล่าวว่า “นั่นคือเหตุผลที่ผมเริ่มผ่าตัดเพื่อกำจัดฝันร้ายนี้ ผมทำให้กล้ามแขนโตขึ้นตอนผมอายุ 20 ที่เกิดจากความโง่เขลาของตัวเองโดยไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่ตามมา”

คิริลล์ต้องลุ้นไปกับการผ่าตัดในครั้งต่อไป ซึ่งเป็นการผ่าตัดบริเวณกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ โดยมันมีเส้นประสาทที่ละเอียดอ่อนในบริเวณนี้ และถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมา เขาอาจไม่สามารถขยับแขนได้อีกต่อไป


ดิมิทรีกล่าวว่า “สารทั้งหมดจะต้องถูกกำจัดออกไป แต่เราจำเป็นต้องรักษาเส้นเลือด เส้นประสาท และระบบการทำงานส่วนอื่น ๆ ของแขนเอาไว้ให้ได้”

“ปิโตรเลียมเจลลีไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการฉีด มันใช้เฉพาะภายนอกเท่านั้น ซึ่งผลที่ตามมาคือเนื้อเยื่อจะตาย และถูกแทนที่ด้วยรอยแผลเป็นที่แข็งเหมือนต้นไม้ คุณสามารถเคาะมันจนได้ยินเสียงได้”

เรื่องนี้ถือเป็นบทเรียนของหนุ่มรัสเซียที่ตัดสินใจทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และถึงแม้เขาจะสำนึกได้ในตอนนี้แต่ดูเหมือนว่ามันก็กำลังจะสายไปเสียแล้ว เหลือแค่เพียงการผ่าตัดครั้งสุดท้ายของเขาว่าจะสามารถทำให้เขากลับมาเป็นคนปกติเหมือนเก่าได้หรือไม่


ปิดท้ายด้วยภาพของคิริลล์ เทเรชิน อดีตนักสู้ MMA ก่อนที่เขาจะฉีดปิโตรเลียมเจลลีเข้าไปในแขน

แบบนี้เขาเรียกว่าอยากเด่นอยากดังหาเรื่องใส่ตัว ผลสุดท้ายอาจจะเสียแขนเสียชีวิตไปก็ได้นะครับอยากเป็นอะไรก็แล้วแต่อย่าเพ้อฝัน...เพราะชีวิตจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นอยาดกล้ามใหญ่ๆเราต้องออกกำลังกายไม่ใช่เอาอะไรไปฉีดมั่วซั่วผลเสียมันจะเป็นแบบนี้

เส้นผมน้ำแข็งปรากฏการณ์ธรรมชาติหาดูได้ยากที่เกิดขึ้นในฤดูหนาว


ภาพ Hair ice ที่ถ่ายได้ที่ป่าแห่งหนึ่งในแถบเทศมณฑลเฟอร์แมนาห์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผู้คนในไอร์แลนด์เหนือพากันโพสต์ภาพแฮร์ไอซ์ (Hair ice) หรือ "เส้นผมน้ำแข็ง" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติหาดูได้ยากที่เกิดขึ้นในฤดูหนาว

ทีมข่าวบีบีซีในไอร์แลนด์เหนือ เผยภาพเส้นผมน้ำแข็งที่ผู้คนถ่ายไว้ได้ขณะออกเดินป่าในแถบเทศมณฑลเฟอร์แมนาห์ (Fermanagh) และเทศมณฑลทิโรน (Tyrone)

เส้นผมน้ำแข็ง มักพบก่อตัวอยู่บนกิ่งไม้ที่ผุพังในคืนที่มีสภาพอากาศชื้นของฤดูหนาว

เมื่อมองเผิน ๆ แฮร์ไอซ์ดูราวกับขนมโรตีสายไหม หรือเส้นใยที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ แต่เมื่อสังเกตใกล้ ๆ ก็จะเห็นเป็นเส้นน้ำแข็งเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายเส้นผม หรือเส้นขนสีขาวจำนวนมากเกาะรวมกันเป็นกระจุก

เมื่อเส้นผมน้ำแข็งเหล่านี้ได้สัมผัสกับมือที่อุ่นกว่าของมนุษย์ หรือสัมผัสกับแสงแดดในฤดูหนาว พวกมันก็จะละลายหายไปอย่างรวดเร็ว

บางครั้งมีการเรียกปรากฏการณ์ที่หาดูยากนี้ว่า "ดอกน้ำค้างแข็ง" (frost flowers)
เส้นผมน้ำแข็ง หรือบางครั้งเรียกว่า "ดอกน้ำค้างแข็ง" (frost flowers) มักพบก่อตัวอยู่บนกิ่งไม้ที่ผุพังในคืนที่มีสภาพอากาศชื้นของฤดูหนาว ช่วงที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสเพียงเล็กน้อย

เมื่อปี 2015 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันและชาวสวิสค้นพบว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่ชื่อ Exidiopsis effusa ซึ่งทำให้น้ำแข็งก่อตัวเป็นเส้นเล็ก ๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.01 มิลลิเมตร และอาจมีความยาวได้ถึง 20 เซ็นติเมตร

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่ชื่อ Exidiopsis effusa

The unusual phenomenon has been spotted in a number of sights in Omagh
แฮร์ไอซ์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.01 มิลลิเมตร และอาจมีความยาวได้ถึง 20 เซ็นติเมตร

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2566

ปริศนาสวนเอเดน(อุทยาน​ของ​พระ‍เจ้า)มีจริงหรือไม่


ปริศนาสวนเอเดน(อุทยาน​ของ​พระ‍เจ้า)มีจริงหรือไม่

สวนเอเดน (อังกฤษ: Garden of Eden; ภาษาฮิบรู: גַּן עֵדֶן) คัมภีร์บางเล่มเรียก อุทยาน​ของ​พระ‍เจ้า เป็นสถานที่บรรยายไว้ในพระธรรมปฐมกาลว่าเป็นสถานที่พักอาศัยของอาดัมกับเอวา มนุษย์สองคนแรกที่พระเจ้าทรงสร้าง



จิตรกรรม สวนเอเดนและการร่วงหล่นของมนุษย์ (The Garden of Eden with the Fall of Man)

การสร้างโลกในพระธรรมปฐมกาลจะกล่าวถึงที่ตั้งของสวนเอเดนว่าอยู่ในบริเวณแม่น้ำสำคัญสี่สาย : แม่น้ำพิชอน แม่น้ำกิฮอน แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรทีสซึ่งอยู่ในบริเวณอาร์มีเนีย, ยอดเขาอารารัต, เยเรวาน หรือที่ราบสูงอาร์มีเนีย)  (พระธรรมปฐมกาล บทที่ 2 ข้อที่ 10-14) 

ซึ่งอยู่ในบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณคอเคซัสโบราณโดยเฉพาะบริเวณใกล้กับอาร์มีเนีย

ที่ตั้งของแม่น้ำทั้งสี่ยังเป็นที่ถกเถียงกันและยังไม่มีหลักฐานเป็นที่แน่นอนที่สนับสนุนที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำนอกจากที่กล่าวในพระธรรมปฐมกาลเอง 

และ วรรณกรรมยิว-คริสเตียนเช่น “จูบิลี” สมมุติฐานอื่นก็ว่าตั้งอยู่ที่เมโสโปเตเมีย ทวีปแอฟริกา หรือ อ่าวเปอร์เซีย 

สมมุติฐานหลังมาจากหลักฐานของลุ่มแม่น้ำสี่สายที่มาพบกันที่เป็นที่ผลิตทองคำ และยางไม้หอม Bdellium แต่ก็ยังต้องมีการตีความหมายของเนื้อหาของพระธรรมปฐมกาลเพิ่มเพื่อยืนยัน

จากหลักฐานที่กล่าวมานี้สรุปว่าสวนเอเดนมีจริงๆหรือไม่รู้ว่าเป็นการบันทึกของนักปราชญ์โบราณที่บอกต่อๆกันมามีจริงหรือไม่มีจริงตามคัมภีร์ไม่ว่าศาสนาคริสต์ ยิว อิสลามก็มีกล่าวไว้เหมือนๆกันเกี่ยวกับสวนเอเดนและพระเจ้าที่สร้างมนุษย์คู่แรก ที่พักอาศัยของอาดัมกับเอวา มนุษย์สองคนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

คนที่ตายเพราะ “คำสาปฟาโรห์” ที่แท้ติดเชื้อราในทางเดินหายใจจริงหรือ ?

คนที่ตายเพราะ “คำสาปฟาโรห์” ที่แท้ติดเชื้อราในทางเดินหายใจจริงหรือ ?
ภายในสุสานและที่ร่างของมัมมี่อาจมีเชื้อรามรณะแฝงอยู่ที่มาของ“คำสาปฟาโรห์”


ภายในสุสานและที่ร่างของมัมมี่อาจมีเชื้อรามรณะแฝงอยู่

เสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องคำสาปแช่ง ซึ่งจะทำให้ผู้บุกรุกสุสานและรบกวนความสงบของกษัตริย์อียิปต์ยุคโบราณ ต้องมีอันเป็นไปทุกรายนั้น เริ่มต้นขึ้นหลังมรณกรรมของลอร์ดคาร์นาวอน (Earl of Carnarvon) นายทุนชาวอังกฤษผู้สนับสนุนการขุดค้นทางโบราณคดี ซึ่งจากไปอย่างกะทันหันในปี 1923 หลังเปิดสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุนได้ไม่นาน

การเสียชีวิตที่เป็นปริศนาของลอร์ดคาร์นาร์วอน ติดตามมาด้วยความตายของสมาชิกในทีมขุดค้นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายราย จนดูเหมือนว่าเหตุมรณกรรมเหล่านี้มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันอย่างน่าประหลาด และเป็นไปได้ว่าอาจมีสาเหตุมาจากอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาทางประวัติศาสตร์และสถิติที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ BMJ ในปี 2002 ชี้ว่าการต้องคำสาปนั้น ไม่ได้ส่งผลเพิ่มอัตราเสี่ยงที่จะเสียชีวิตให้สูงขึ้นแต่อย่างใด ทั้งยังเสนอแนะว่าเชื้อโรคหรือสารพิษก่อโรคบางอย่าง น่าจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตในลักษณะนี้

แท้จริงแล้วลอร์ดคาร์นาร์วอนเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ไม่ชัดเจน โดยมีการสันนิษฐานว่าเขาอาจเสียชีวิตเพราะโลหิตเป็นพิษ เนื่องจากติดเชื้อที่แผลซึ่งโดนยุงกัด หรือไม่ก็สิ้นใจเพราะปอดอักเสบ (นิวมอเนีย)


ลอร์ดคาร์นาร์วอน (ซ้าย) เสียชีวิตหลังเปิดสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุนได้ไม่นาน ส่วนฮาเวิร์ด คาร์เตอร์ (ขวา) กลับมีอายุยืนยาวต่อมาอีกหลายสิบปี

การเสียชีวิตในวัย 56 ปีของเขานั้น แม้จะดูเหมือนด่วนจากไปก่อนวัยอันควร จนทำให้เรื่องของคำสาปมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น แต่อันที่จริงนั้นถือได้ว่า เขามีชีวิตยืนยาวตามเกณฑ์อายุขัยปกติของคนในยุคต้นศตวรรษที่ 20 แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเสียชีวิตลงหลังทีมขุดค้นเปิดเข้าสำรวจสุสานฟาโรห์ตุตันคามุนไปแล้วถึง 5 เดือน

อาการของโรคที่นำไปสู่การเสียชีวิตของลอร์ดคาร์นาร์วอน ได้รับการวิเคราะห์ในงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ Lancet เมื่อปี 2003 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอียิปต์ชี้ว่า อาการของท่านขุนนางชาวอังกฤษมีความสอดคล้องกับการติดเชื้อรา Aspergillus flavus ซึ่งพบได้อย่างหนาแน่นในสุสานของกษัตริย์อียิปต์โบราณ

ทีมผู้วิจัยชี้ว่า อาการของลอร์ดคาร์นาร์วอนน่าจะเป็นการติดเชื้อราในเนื้อเยื่อปอดส่วนใหญ่ ร่วมกับการเกิดไซนัสอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดในโพรงจมูกและลูกตา ไอเป็นเลือด รวมทั้งปอดอักเสบรุนแรงได้

แม้จะมีผู้โต้แย้งว่า ลอร์ดคาร์นาร์วอนไม่น่าจะติดเชื้อรามรณะดังกล่าว เพราะไม่ได้เสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วหลังจากสูดหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราเข้าไประหว่างการเข้าสำรวจสุสาน แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวอียิปต์อธิบายว่าเชื้อรา Aspergillus flavus สามารถจำศีลสงบนิ่งอยู่ในปอดได้เป็นเวลานาน ก่อนที่จะถูกกระตุ้นให้แผลงฤทธิ์ออกมา


มัมมี่ของฟาโรห์รามเสสที่สอง มีเชื้อรา Aspergillus flavus อยู่เช่นกัน

กรณีที่ทีมนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีถูกเล่นงานด้วยเชื้อรา Aspergillus flavus ในสุสาน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากนั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงทศวรรษ 1970 โดยทีมสำรวจจำนวน 10 ใน 12 ราย ทยอยเสียชีวิตไปในเวลาอันสั้น หลังเปิดหีบพระศพของกษัตริย์คาซิมีร์ที่ 4 แห่งโปแลนด์ ในสุสานที่อากาศและพื้นผิวเต็มไปด้วยเชื้อราในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

นอกจากลอร์ดคาร์นาร์วอนแล้ว ผู้ที่ต้องสงสัยว่าถูกคำสาปของฟาโรห์ตุตันคามุนเล่นงาน ยังได้แก่จอร์จ เจย์ กูลด์ นักการเงินชาวอเมริกันที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าชมสุสานเปิดใหม่ โดยเขาจากไปด้วยโรคปอดอักเสบในปีเดียวกับที่ลอร์ดคาร์นาร์วอนเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีเซอร์อาร์ชิบาลด์ ดักลาส-รีด นักรังสีวิทยาผู้สแกนร่างของตุตันคามุนด้วยรังสีเอกซ์ ซึ่งเสียชีวิตลงด้วยอาการเจ็บป่วยอย่างเป็นปริศนาในปีต่อมา

สองกรณีข้างต้นและกรณีของลอร์ดคาร์นาร์วอน อาจถือได้ว่าเป็นหลักฐานบางส่วนที่บ่งชี้ถึงต้นตอแท้จริงของคำสาปว่า มันมาจากเชื้อรามรณะนั่นเอง แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังไม่อาจสรุปลงไปได้อย่างแน่นอนว่า ผู้เสียชีวิตทุกรายดับสูญไปเพราะเชื้อราจริงหรือไม่ เนื่องจากบางรายเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม และหลายรายก็ขาดข้อมูลทางการแพทย์ที่ชัดเจนในการวิเคราะห์สาเหตุของการเสียชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำทีมเปิดสุสานตุตันคามุนคนสำคัญอย่างฮาเวิร์ด คาร์เตอร์ ยังไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากคำสาปเลยแม้แต่น้อย และมีชีวิตยืนยาวต่อมาอีกนานหลายสิบปี ก่อนจะเสียชีวิตไปในวัยชราเมื่อมีอายุได้ราว 60 กว่าปี แต่นักวิทยาศาสตร์บางรายสันนิษฐานว่า ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงจะไม่เจ็บป่วยด้วยเชื้อรานี้โดยมีคนจำนวนมากที่สูดหายใจเอาสปอร์ของราเข้าไปทุกวันแต่ไม่เป็นอะไรเลย

มัมมี่ไม่ใช่การรักษาสภาพศพ ที่แท้ชาวอียิปต์โบราณจงใจสร้าง “เทวรูป”

มัมมี่ไม่ใช่การรักษาสภาพศพ ที่แท้ชาวอียิปต์โบราณจงใจสร้าง “เทวรูป”

ฮาเวิร์ด คาเตอร์ กับโลงบรรจุพระศพฟาโรห์ตุตันคามุน เมื่อปี 1922

ผู้เชี่ยวชาญด้านอียิปต์วิทยารุ่นใหม่จำนวนหนึ่งออกมากล่าวชี้ว่า คนทั้งโลกต่างเข้าใจผิดเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการทำมัมมี่ของคนชั้นสูงกันมาเนิ่นนาน โดยแท้ที่จริงแล้ว ชาวอียิปต์โบราณมีเจตนาจะสร้าง “เทวรูป” จากร่างของฟาโรห์ผู้เปรียบเสมือน “เทพที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์” (living god)  

การที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การทำมัมมี่คือการรักษาสภาพศพให้คงทนถาวร เพื่อที่ผู้วายชนม์จะสามารถฟื้นขึ้นหลังความตายอีกครั้งได้นั้น มาจากการตีความผิดของนักโบราณคดีรุ่นแรก ๆ ในยุควิกตอเรียน ซึ่งมีอคติเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความตาย ได้เผยแพร่ความเข้าใจที่ผิดว่าด้วยมัมมี่ออกไปอย่างกว้างขวาง โดยไม่มีหลักฐานยืนยันที่เป็นรูปธรรมรองรับ

นักโบราณคดีที่ได้ศึกษาวิจัยด้านอียิปต์วิทยาเป็นกลุ่มแรกนั้น มักได้แก่ชาวอังกฤษในปลายสมัยศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งพากันหมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องชีวิตหลังความตายตามบรรยากาศของยุคสมัย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากพวกเขาจะบอกกับคนทั่วไปว่า การทำมัมมี่นั้นก็เพื่อให้ผู้วายชนม์ได้มีชีวิตหลังความตายที่ดี มีร่างกายและใช้ร่างกายเหมือนกับตอนที่อยู่ในโลกมนุษย์ทุกประการ

อย่างไรก็ตาม นักอียิปต์วิทยารุ่นใหม่ในปัจจุบันเริ่มเห็นต่างไปจากความรู้เดิมที่เคยปลูกฝังกันมา อย่างเช่นดร. แคมป์เบล ไพรซ์ จากพิพิธภัณฑ์แมนเชสเตอร์ของสหราชอาณาจักร ก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญซึ่งสนับสนุนแนวคิดที่ว่ามัมมี่ของคนชั้นสูงคือเทวรูป

ดร. ไพรซ์มองว่า มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ถึงกระบวนการทำให้พระศพของฟาโรห์และราชินี “คืนสู่ภาวะเทพที่แท้จริง” ซึ่งก็คือการทำให้ร่างไร้ชีวิตกลายเป็นรูปเคารพที่มีความสำคัญทางศาสนาและจิตวิญญาณ

ตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวคิดใหม่นี้ ได้แก่หน้ากากทองคำที่ใช้วางทับลงบนหีบบรรจุร่างมัมมี่ของฟาโรห์และบรรดาพระราชวงศ์ โดยหน้ากากจะถูกประดิษฐ์ขึ้นให้มีความงามสมบูรณ์แบบตามอุดมคติคล้ายกับเทพ มากกว่าจะมุ่งทำให้เหมือนใบหน้าจริงของผู้วายชนม์ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

“มันเป็นความแตกต่างทางความคิดที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ก็มีความสำคัญมาก แนวคิดเก่าที่ว่าวิญญาณจะกลับคืนสู่ร่างและทำให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งนั้น ไม่ได้มีการแสดงออกอย่างชัดเจนในกระบวนการทำมัมมี่หรืองานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับมัมมี่มากนัก มันไม่เหมือนกับที่คนทั่วไปจินตนาการเอาไว้” ดร. ไพรซ์กล่าว

ในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ พิพิธภัณฑ์แมนเชสเตอร์จะจัดนิทรรศการ “มัมมี่ทองคำแห่งอียิปต์” (Golden Mummies of Egypt) ซึ่งจะมีการจัดแสดงวัตถุโบราณที่เป็นหลักฐานสนับสนุนแนวคิดเรื่องมัมมี่คือเทวรูปเอาไว้ด้วย


ร่างมัมมี่ของพระนางฮัตเชปซุต ซึ่งทางการอียิปต์เปิดให้ชมเมื่อปี 2007

ข้อถกเถียงอีกประการหนึ่งซึ่งฝ่ายนักอียิปต์วิทยารุ่นใหม่ยกมาสนับสนุนแนวคิดของตน ได้แก่การที่มัมมี่ของชนชั้นปกครองระดับสูงบางร่างไม่ได้รับการทำศพอย่างพิถีพิถัน โดยขาดความใส่ใจในการถนอมรักษาสภาพศพอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่นพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนนั้น ติดแน่นอยู่กับพื้นด้านล่างของหีบศพเนื่องจากการทำมัมมี่แบบลวก ๆ

ดร. ไพรซ์ แสดงความเห็นว่า “ถ้าอ่านจากบันทึกของผู้ค้นพบสุสานที่เก็บพระศพ มันดูเหมือนว่ากระบวนการทำมัมมี่ผิดพลาดเสียหาย แต่คนโบราณที่รับหน้าที่ทำพระศพไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป ดังนั้นร่างมัมมี่ของตุตันคามุนจึงไม่ได้รับการถนอมรักษาอย่างดีเท่าที่ควร”

“นั่นเป็นเพราะว่า การสร้างรูปลักษณ์ของคนตายให้เหมือนตัวจริงตอนยังมีชีวิตอยู่ ชนิดที่ใครเห็นก็จำได้ทันทีนั้น ไม่ได้เป็นจุดมุ่งหมายหรือความตั้งใจของคนทำมัมมี่มาตั้งแต่แรก”

“ชาวอียิปต์โบราณถือว่ารูปเคารพนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเช่นเดียวกับองค์เทพ รวมไปถึงภาพวาดและภาพสลักที่ถือเป็นตัวแทนของเทพเจ้าด้วย โดยถือว่าโลกของภาพสัญลักษณ์เหล่านี้มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของมันเอง”

บันทึกของอียิปต์โบราณยังระบุว่า เทวรูปในยุคนั้นได้รับการเจิมด้วยน้ำมันและน้ำหอม ในบางครั้งมีการห่อหุ้มเทวรูปด้วยผ้าลินินเหมือนกับการทำมัมมี่ ซึ่งขั้นตอนการมัดและพันด้วยผ้านี้อาจเป็นการถ่ายทอดอำนาจหรืออิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพให้แก่รูปปั้นหรือรูปสลักนั้นก็เป็นได้


หน้ากากทองของฟาโรห์ตุตันคามุน

ส่วนการบรรจุอวัยวะภายในของผู้ตายลงในโถที่มีฝาปิดเป็นเศียรของเทพ (Canopic jars) ดร. ไพรซ์มองว่าเป็นการแช่อวัยวะเหล่านั้นให้อิ่มชุ่มด้วยพลังเทพของผู้วายชนม์ มากกว่าจะเป็นการดองรักษาสภาพอวัยวะเอาไว้เพื่อให้หยิบมาใช้สอยได้ง่ายในโลกหลังความตาย

แม้แนวคิดใหม่เรื่องจุดประสงค์ของการทำมัมมี่จะมีเหตุผลน่ารับฟัง แต่ก็มีนักอียิปต์วิทยาจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เห็นด้วยนัก เช่นดร. สตีเฟน บักลีย์ นักโบราณคดีและนักเคมีวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยยอร์กของสหราชอาณาจักร เขาแสดงความเห็นว่าการถนอมรักษาสภาพศพนั้นเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการทำมัมมี่ ซึ่งไม่อาจมองข้ามหรือปฏิเสธได้

ดร. บักลีย์บอกว่า “มัมมี่ของฟาโรห์หรือราชินีบางร่างดูเหมือนเทวรูปมากกว่าคนจริง เช่นมัมมี่ของตุตันคามุน, อาเมนโฮเทปที่สาม, และอาเคนาเตน แต่มัมมี่หลายร่างก็ดูเหมือนคนจริงที่กำลังนอนหลับอยู่มากกว่า เช่นมัมมี่ของทุตโมซิสที่สาม, ทุตโมซิสที่สี่, อาเมนโฮเทปที่สอง, และราชินีตีย์ (Tyi) ซึ่งแสดงว่าผู้ทำมัมมี่มีความใส่ใจถนอมรักษาศพให้เหมือนกับยังมีชีวิตอยู่”

“การวาดหรือสลักภาพเหมือนของผู้ตาย ยังรวมเอาตำหนิหรือความบกพร่องทางรูปลักษณ์บางประการไว้ด้วย เพื่อให้วิญญาณสามารถจำร่างของตนได้ เวลาที่กลับคืนสู่บ้านเดิมของตนเป็นครั้งคราว”

“แน่นอนว่าเจตนาในการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณนั้น ไม่ได้อยู่ที่การรักษาสภาพศพให้คงทนถาวรเพียงอย่างเดียว แต่การปฏิเสธไม่ยอมรับอย่างสิ้นเชิงในวัตถุประสงค์หลักดังกล่าว เท่ากับมองผิดประเด็นไปมากทีเดียว” ดร. บักลีย์กล่าวสรุป

วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ช่างตัดผมติดยา ผู้เปลี่ยนชีวิตใหม่กับอุทิศตนตัดผมฟรีให้คนจรจัด


อดีตช่างตัดผมติดยา ผู้เปลี่ยนชีวิตใหม่กับอุทิศตนตัดผมฟรีให้คนจรจัด

กลับตัวกลับใจหันช่วยเหลือสังคมอดีตช่างตัดผมติดยา ผู้เปลี่ยนชีวิตใหม่กับอุทิศตนตัดผมฟรีให้คนจรจัด เป็นตัวอย่างดีของคนที่อุทิศตัวเองเพื่อช่วยเหลือสังคมแม้ว่าในอดีตตนเองเคยพลาดติดยาเสพติดเหมือนกัน

นาเซอร์ โซบฮานี่ เจ้าของฉายา “ช่างตัดผมข้างถนน” อาจกลายเป็นช่างตัดผมที่เจ๋งที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพราะเขาฝีมือการตัดผมเจ๋ง หรือตัดผมให้กับดาราดังๆ แต่เขาใช้เวลาว่างส่วนหนึ่งในการเดินสายตัดผมให้กับผู้ยากไร้และคนจรจัด ที่ไม่ีมีเงินจะเข้าร้านตัดผม หรือแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำไป

อดีตของนาเซอร์เคยติดยาเสพติด นั่นทำให้ชีวิตของเขาตกต่ำ เขามีรอยสักมากขึ้นทุกๆ ปี และกลายเป็นคนเงียบขรึม จนกระทั่งเขาได้พบกับงานชิ้นนี้ และมันได้ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากสิ่งไม่ดีทั้งหมด

นาเซอร์ บอกว่า เขาอยากที่จะช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้ และมองว่าพวกคนเร่ร่อนก็เป็นเหมือนลูกค้าของเขาเช่นกัน


เขาสังเกตุว่า คนเร่ร่อนเหล่านี้ต้องการมีสังคม และใครสักคนที่ให้เอาใจใส่ดูแลพวกเขาจริงๆ



ตอนนี้ เขาได้พิสูจน์ตัวเองว่า เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคม และเขาก็ไม่เคยกลัวที่จะเปิดเผยอดีตที่ไม่ดีของเขาเอง นั่นเป็นเพราะตอนนี้เขาได้กลายเป็นคนใหม่แล้ว

รายการบล็อกของฉัน