มัมมี่ไม่ใช่การรักษาสภาพศพ ที่แท้ชาวอียิปต์โบราณจงใจสร้าง “เทวรูป”
ฮาเวิร์ด คาเตอร์ กับโลงบรรจุพระศพฟาโรห์ตุตันคามุน เมื่อปี 1922
ผู้เชี่ยวชาญด้านอียิปต์วิทยารุ่นใหม่จำนวนหนึ่งออกมากล่าวชี้ว่า คนทั้งโลกต่างเข้าใจผิดเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการทำมัมมี่ของคนชั้นสูงกันมาเนิ่นนาน โดยแท้ที่จริงแล้ว ชาวอียิปต์โบราณมีเจตนาจะสร้าง “เทวรูป” จากร่างของฟาโรห์ผู้เปรียบเสมือน “เทพที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์” (living god)
การที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การทำมัมมี่คือการรักษาสภาพศพให้คงทนถาวร เพื่อที่ผู้วายชนม์จะสามารถฟื้นขึ้นหลังความตายอีกครั้งได้นั้น มาจากการตีความผิดของนักโบราณคดีรุ่นแรก ๆ ในยุควิกตอเรียน ซึ่งมีอคติเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความตาย ได้เผยแพร่ความเข้าใจที่ผิดว่าด้วยมัมมี่ออกไปอย่างกว้างขวาง โดยไม่มีหลักฐานยืนยันที่เป็นรูปธรรมรองรับ
นักโบราณคดีที่ได้ศึกษาวิจัยด้านอียิปต์วิทยาเป็นกลุ่มแรกนั้น มักได้แก่ชาวอังกฤษในปลายสมัยศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งพากันหมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องชีวิตหลังความตายตามบรรยากาศของยุคสมัย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากพวกเขาจะบอกกับคนทั่วไปว่า การทำมัมมี่นั้นก็เพื่อให้ผู้วายชนม์ได้มีชีวิตหลังความตายที่ดี มีร่างกายและใช้ร่างกายเหมือนกับตอนที่อยู่ในโลกมนุษย์ทุกประการ
อย่างไรก็ตาม นักอียิปต์วิทยารุ่นใหม่ในปัจจุบันเริ่มเห็นต่างไปจากความรู้เดิมที่เคยปลูกฝังกันมา อย่างเช่นดร. แคมป์เบล ไพรซ์ จากพิพิธภัณฑ์แมนเชสเตอร์ของสหราชอาณาจักร ก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญซึ่งสนับสนุนแนวคิดที่ว่ามัมมี่ของคนชั้นสูงคือเทวรูป
ดร. ไพรซ์มองว่า มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ถึงกระบวนการทำให้พระศพของฟาโรห์และราชินี “คืนสู่ภาวะเทพที่แท้จริง” ซึ่งก็คือการทำให้ร่างไร้ชีวิตกลายเป็นรูปเคารพที่มีความสำคัญทางศาสนาและจิตวิญญาณ
ตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวคิดใหม่นี้ ได้แก่หน้ากากทองคำที่ใช้วางทับลงบนหีบบรรจุร่างมัมมี่ของฟาโรห์และบรรดาพระราชวงศ์ โดยหน้ากากจะถูกประดิษฐ์ขึ้นให้มีความงามสมบูรณ์แบบตามอุดมคติคล้ายกับเทพ มากกว่าจะมุ่งทำให้เหมือนใบหน้าจริงของผู้วายชนม์ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
“มันเป็นความแตกต่างทางความคิดที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ก็มีความสำคัญมาก แนวคิดเก่าที่ว่าวิญญาณจะกลับคืนสู่ร่างและทำให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งนั้น ไม่ได้มีการแสดงออกอย่างชัดเจนในกระบวนการทำมัมมี่หรืองานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับมัมมี่มากนัก มันไม่เหมือนกับที่คนทั่วไปจินตนาการเอาไว้” ดร. ไพรซ์กล่าว
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ พิพิธภัณฑ์แมนเชสเตอร์จะจัดนิทรรศการ “มัมมี่ทองคำแห่งอียิปต์” (Golden Mummies of Egypt) ซึ่งจะมีการจัดแสดงวัตถุโบราณที่เป็นหลักฐานสนับสนุนแนวคิดเรื่องมัมมี่คือเทวรูปเอาไว้ด้วย
ร่างมัมมี่ของพระนางฮัตเชปซุต ซึ่งทางการอียิปต์เปิดให้ชมเมื่อปี 2007
ข้อถกเถียงอีกประการหนึ่งซึ่งฝ่ายนักอียิปต์วิทยารุ่นใหม่ยกมาสนับสนุนแนวคิดของตน ได้แก่การที่มัมมี่ของชนชั้นปกครองระดับสูงบางร่างไม่ได้รับการทำศพอย่างพิถีพิถัน โดยขาดความใส่ใจในการถนอมรักษาสภาพศพอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่นพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนนั้น ติดแน่นอยู่กับพื้นด้านล่างของหีบศพเนื่องจากการทำมัมมี่แบบลวก ๆ
ดร. ไพรซ์ แสดงความเห็นว่า “ถ้าอ่านจากบันทึกของผู้ค้นพบสุสานที่เก็บพระศพ มันดูเหมือนว่ากระบวนการทำมัมมี่ผิดพลาดเสียหาย แต่คนโบราณที่รับหน้าที่ทำพระศพไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป ดังนั้นร่างมัมมี่ของตุตันคามุนจึงไม่ได้รับการถนอมรักษาอย่างดีเท่าที่ควร”
“นั่นเป็นเพราะว่า การสร้างรูปลักษณ์ของคนตายให้เหมือนตัวจริงตอนยังมีชีวิตอยู่ ชนิดที่ใครเห็นก็จำได้ทันทีนั้น ไม่ได้เป็นจุดมุ่งหมายหรือความตั้งใจของคนทำมัมมี่มาตั้งแต่แรก”
“ชาวอียิปต์โบราณถือว่ารูปเคารพนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเช่นเดียวกับองค์เทพ รวมไปถึงภาพวาดและภาพสลักที่ถือเป็นตัวแทนของเทพเจ้าด้วย โดยถือว่าโลกของภาพสัญลักษณ์เหล่านี้มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของมันเอง”
บันทึกของอียิปต์โบราณยังระบุว่า เทวรูปในยุคนั้นได้รับการเจิมด้วยน้ำมันและน้ำหอม ในบางครั้งมีการห่อหุ้มเทวรูปด้วยผ้าลินินเหมือนกับการทำมัมมี่ ซึ่งขั้นตอนการมัดและพันด้วยผ้านี้อาจเป็นการถ่ายทอดอำนาจหรืออิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพให้แก่รูปปั้นหรือรูปสลักนั้นก็เป็นได้
หน้ากากทองของฟาโรห์ตุตันคามุน
ส่วนการบรรจุอวัยวะภายในของผู้ตายลงในโถที่มีฝาปิดเป็นเศียรของเทพ (Canopic jars) ดร. ไพรซ์มองว่าเป็นการแช่อวัยวะเหล่านั้นให้อิ่มชุ่มด้วยพลังเทพของผู้วายชนม์ มากกว่าจะเป็นการดองรักษาสภาพอวัยวะเอาไว้เพื่อให้หยิบมาใช้สอยได้ง่ายในโลกหลังความตาย
แม้แนวคิดใหม่เรื่องจุดประสงค์ของการทำมัมมี่จะมีเหตุผลน่ารับฟัง แต่ก็มีนักอียิปต์วิทยาจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เห็นด้วยนัก เช่นดร. สตีเฟน บักลีย์ นักโบราณคดีและนักเคมีวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยยอร์กของสหราชอาณาจักร เขาแสดงความเห็นว่าการถนอมรักษาสภาพศพนั้นเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการทำมัมมี่ ซึ่งไม่อาจมองข้ามหรือปฏิเสธได้
ดร. บักลีย์บอกว่า “มัมมี่ของฟาโรห์หรือราชินีบางร่างดูเหมือนเทวรูปมากกว่าคนจริง เช่นมัมมี่ของตุตันคามุน, อาเมนโฮเทปที่สาม, และอาเคนาเตน แต่มัมมี่หลายร่างก็ดูเหมือนคนจริงที่กำลังนอนหลับอยู่มากกว่า เช่นมัมมี่ของทุตโมซิสที่สาม, ทุตโมซิสที่สี่, อาเมนโฮเทปที่สอง, และราชินีตีย์ (Tyi) ซึ่งแสดงว่าผู้ทำมัมมี่มีความใส่ใจถนอมรักษาศพให้เหมือนกับยังมีชีวิตอยู่”
“การวาดหรือสลักภาพเหมือนของผู้ตาย ยังรวมเอาตำหนิหรือความบกพร่องทางรูปลักษณ์บางประการไว้ด้วย เพื่อให้วิญญาณสามารถจำร่างของตนได้ เวลาที่กลับคืนสู่บ้านเดิมของตนเป็นครั้งคราว”
“แน่นอนว่าเจตนาในการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณนั้น ไม่ได้อยู่ที่การรักษาสภาพศพให้คงทนถาวรเพียงอย่างเดียว แต่การปฏิเสธไม่ยอมรับอย่างสิ้นเชิงในวัตถุประสงค์หลักดังกล่าว เท่ากับมองผิดประเด็นไปมากทีเดียว” ดร. บักลีย์กล่าวสรุป