Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โรคคลั่งตัวเอง

Narcissistic Personality Disorder
โรค  Narcissistic Personality Disorder
(`นาร์เซอะ'ซิสติก `เพอร์เซอะ'แนลิตี้ ดิส'ออร์เดอร์) หรือที่มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า โรคคลั่งตัวเอง (เรียกย่อๆ ว่า NPD หรือ ภาวะ Narcissism) เป็นภาวะบกพร่องด้านบุคลิกภาพอันเนื่องมาจากอาการหลงตัวเองมากเกินไป ชื่อโรคนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายกรีกที่ว่า มีชายหนุ่มรูปโฉมงดงามชื่อ Narcissus  เป็นที่ต้องตาต้องใจของทั้งสาวและหนุ่มทั้งหลาย (วัฒนธรรมกรีกและโรมันให้ความสำคัญกับความรักในเพศเดียวกันเท่าเทียมกับความ รักต่างเพศ) แต่เขาก็มิได้หมายปองใครจริงจัง กลับหักอกคนที่รักครั้งแล้วครั้งเล่า

จนกระทั่งสุดท้ายเขาโดนสาปโดยเทพเจ้าว่า เขาจะต้องตายเพราะหลงไหลในรูปโฉมของตัวเอง วาระสุดท้ายของเขามาถึง เมื่อเขาก้มลงดื่มน้ำในทะเลสาบแล้วเห็นใบหน้าของตัวเองในน้ำ เขาจึงตกหลุมรักตัวเองทันที เขากระโดดหมายจะคว้าเงาเอาไว้ทำให้ตกน้ำตาย สมกับคำสาบที่เทพเจ้าได้สาปเอาไว้นั่นเอง

อาการของผู้ป่วยโรคนี้จะคล้ายคลึงกับนาร์ซีซัสตามเทพนิยายทุก ประการ กล่าวคือ เขาคลั่งไคล้ตัวเองมากเกินกว่าปกติ จนก่อให้เกิดความบกพร่องทางบุคลิกภาพขึ้นมาได้
จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการ 9 อย่างดังต่อไปนี้ 

   1. ฉันเป็นมือหนึ่งในปฐพี: สำคัญตัวเองผิด ผู้ป่วยมักเข้าใจไปเองว่าตัวเองเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่นทั้งปวงในโลกนี้
   2. ฉันทำอะไรก็เทพหมด: คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในทุกด้านอย่างไม่มีขีดจำกัด เลิศเลอ perfect ไปทุกอย่าง
   3. ไม่มีใครเข้าใจฉันนอกจากขั้นเทพด้วยกัน: เข้าใจว่าตัวเองเป็นบุคคลพิเศษ ซึ่งก็จะมีแต่บุคคลพิเศษด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจตัวเขาได้
   4. ฉันเท่ห์ที่สุดในโลก: ต้องการการชื่นชมสนใจจากคนอื่นมากเกินไป
   5. ก็ฉันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใครจะทำอะไรฉันได้: มีความรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ถูกต้องไปหมดทุกอย่าง จึงไม่มีความรู้สึกผิดเวลาที่ทำอะไรผิดพลาด
   6. ทำนู่นทำนี่ให้ฉันที: ชอบใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อทำประโยชน์บางอย่างแก่ตัวเองอยู่เสมอ
   7. คนอื่นจะเป็นยังไงฉันไม่สน: จิตใจกระด้างเย็นชา ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง
   8. นี่แม่งทำอะไรก็เทพหมด / คนอื่นๆ อิจฉาฉันเพราะฉันเก่งกว่าพวกนั้นทุกคน: อิจฉาริษยาคนรอบข้าง และ/หรือ มีความเชื่อว่าคนอื่นๆ รอบตัวกำลังอิจฉาตัวเขาอยู่
   9. อะไรๆ ที่ไม่ถูกใจถือว่างี่เง่าหมดสำหรับฉัน: แสดงความหยิ่ง ยะโส โอหัง ออกมาทั้งทางพฤติกรรม คำพูด และทัศนคติ

[Disclaimer: ท่านผู้อ่านไม่ต้องตกใจถ้าพบว่าท่านหรือผู้ใกล้ชิดของท่านมีอาการเหล่านี้ การวินิจฉัยภาวะโรค NPD ต้องกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งไม่มีอคติต่อผู้ป่วยก่อนการวินิจฉัยเสมอ ตัวท่านผู้อ่านเองอาจมีทัศนคติบางอย่างซ่อนอยู่ก่อนการวินิจฉัย ผลการวิเคราะห์ด้วยตัวท่านเองจึงอาจไม่สมบูรณ์ 100%]

ที่ผม hilight ไว้ด้วยสีแดงนี้คือคำจำกัดความที่ผมคิดขึ้นเพื่อให้ท่านผู้อ่านสามารถ จินตนาการภาพอาการของผู้ป่วยจากคำพูดติดปากของเขาได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคนี้อาจไม่แสดงอาการครบทั้ง 9 อย่างนี้ก็ได้ การแสดงออกอาการเพียง 4-5 อย่างก็ถือว่าเข้าข่ายการเป็นโรคนี้แล้ว

โรคนี้จะเกิดขึ้นกับน้อยกว่า 1% ของประชากรโดยรวม และพบเพียง 2-16% ของผู้ป่วยจิตเภทด้วยซ้ำ ผู้ป่วยโรคนี้จึงพบได้ยากในสังคมทั่วไป ผู้ป่วยมักทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนร่วมงานและบุคคลรอบข้างเสียไป เพราะสังคมไม่ยอมรับในตัวของเขา


โรคนี้พัฒนาขึ้นในช่วงผู้ใหญ่ตอนต้น ต้นตอของโรคเกิดจากปมด้อยอันน่าอับอายของผู้ป่วยที่คิดว่าสังคมทั่วไปไม่ยอม รับ ทำให้เขาสร้างเกราะขึ้นมาปกป้องจิตใจอันบอบบางจากการปฏิเสธและการโดดเดี่ยว จากสังคม ผู้ป่วยจึงสร้างความคลั่งไคล้ในตัวเองขึ้นมาเพื่อชดเชยกับการขาดการยอมรับ เหล่านั้น ความเชื่อดังกล่าวจะฝังอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกทำให้ยากต่อการรักษาด้วย จิตแพทย์ เพราะแม้แต่ผู้ป่วยเองก็ยังกลัวที่จะเปิดเผยความลับในระดับจิตใต้สำนึกเช่น เดียวกัน

ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการซาดิสต์ร่วมด้วย โดยผู้ป่วยมักจะทำร้ายจิตใจของผู้อื่นด้วยการดูถูกถากถางอย่างจงใจ (intentional insult) เพื่อทำให้เหยื่อเกิดความบาดเจ็บทางจิตใจ เป็นการชดเชยกับประสบการณ์ร้ายที่ตนเคยประสบมาในอดีต ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ยังเกลียดการเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการทำให้เขาเสียหน้า

เพราะจะเป็นการกระแทกเข้าที่ปมด้อยในด้านสังคมของผู้ป่วยอย่างรุนแรง ผู้ป่วยอาจสร้างเกราะในจิตใจเพิ่มขึ้นทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้ หรือหากเป็นการละเมิดหน้าอย่างร้ายแรง ผู้ป่วยอาจขาดความยับยั้งชั่งใจและกระทำการต่างๆ เพื่อปกป้องหน้าของเขาได้ เช่น การทำร้ายร่างกาย หรือแม้แต่การฆ่า

เคยมีกรณีศึกษาเกิดขึ้นในอังกฤษมาแล้วว่า ผู้ป่วยโรคคลั่งตัวเองคิดว่าตัวเองเป็นนักเทนนิสระดับโลกและร่ำรวยมหาศาล เขาแอบนำบัตรเครดิตของพ่อไปซื้อตั๋วเครื่องบินพาแฟนสาว (ซึ่งเขาก็หลอกเธอว่าเป็นนักเทนนิสระดับโลกเช่นกัน) ไปชมการแข่งขันเทนนิสที่นิวยอร์ค พ่อและแม่ของเขาจับได้จึงตำหนิเขาอย่างรุนแรง เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมากจึงใช้ฆ้อนฆ่าพ่อและแม่ของเขาอย่างทารุณ เขายังคงไปเที่ยวกับแฟนสาวตามปกติ โดยทิ้งศพของพ่อแม่ไว้ในบ้านถึง 2 อาทิตย์ เมื่อเขากลับมา เขายังแบกศพของพ่อแม่ออกมาทิ้งหน้าบ้านอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร

ตำรวจจับเขาในข้อหาฆาตกรรมพ่อแม่ตัวเอง เขาแสดงอาการหยิ่งยะโสต่อหน้าตำรวจ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเขาฉลาดกว่าตำรวจทุกคน (ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย) สุดท้ายเขารับสารภาพว่าเขาฆ่าพ่อแม่ของเขาเอง เขาถูกฟ้องข้อหาฆาตกรรม อย่างไรก็ตาม คดีนี้ถูกยกฟ้องเนื่องจากศาลอังกฤษพิจารณาว่าเขาเป็นโรคคลั่งตัวเอง จึงไม่ต้องรับโทษทางอาญา ถึงกระนั้นทุกวันนี้เขายังคงถูกจองจำในสถานบำบัด ผู้ป่วยโรคจิต (asylum) อยู่ดี

ต้นตอที่ทำให้เขาเป็นโรคคลั่งตัวเองก็เพราะว่า แม่ของเขาเลี้ยงเขาอย่างเข้มงวดเกินไป แม่ไม่ยอมให้เขาไปเล่นกับเด็กคนอื่น แม่ยังคงอาบน้ำให้เขาแม้ว่าเขาจะอายุ 18 แล้ว แม่บงการชีวิตของเขาทุกอย่างแม้แต่กับเสื้อผ้าหน้าผม เขาเก็บความรู้สึกอับอายเอาไว้ภายในจิตใต้สำนึก จนทำให้เขากลายเป็นโรคคลั่งตัวเองไปทีละน้อยนั่นเอง
โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้แม้ว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าเป็นโรค นี้ก็ตาม เช่นเดียวกับที่คนติดบุหรี่ไม่อาจเลิกบุหรี่ได้แม้ว่าจะรู้ตัวว่าติดบุหรี่ นอกจากว่าจะมีกำลังใจจะเลิกบุหรี่ด้วยตนเอง ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา โรคคลั่งตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม จิตแพทย์บางท่าน เช่น James F. Masterson เริ่มเสนอวิธีการรักษาโรคนี้แล้ว ถึงกระนั้น บุคคลรอบข้างก็อาจต้องปรับตัวให้ยอมรับอาการของผู้ป่วยบ้าง เพื่อไม่ให้อาการของเขาเพิ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม

เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติม โดย musa2554
เอามาให้อ่านเป็นความรู้ครับ เผื่อคน(บางคน)แถวนี้กำลังเป็นโรคนี้อยู่

รายการบล็อกของฉัน