Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ขุดพบGlyptodon บรรพบุรุษของอาร์มาดิลโลที่สูญพันธุ์ไปแล้วราว 10,000 ปีก่อน พวกมันมีขนาดตัวใหญ่เท่ากับรถโฟล์ก


สาระความรู้ดีๆนำมาฝากวันนี้จะย้อนกลับไปในสมัยยุคไดโนเสาร์เรามีบรรพบุรุษไดโนเสาร์เริ่มแรกต้นตระกูลมานำเสนอนะครับที่มีชื่อว่าคลิปโตดอน(Glyptodon) คือบรรพบุรุษของอาร์มาดิลโลที่สูญพันธุ์ไปแล้วราว 10,000 ปี

รับรองได้ว่าเราจะย้อนอดีตไปเมื่อหมื่นปีที่แล้วผมพร้อมกันนะครับเข้ามาเลย

👉เราต้องมาทำความรู้จักกับอาร์มาดิลโลมีลักษณะเด่น คือ มีส่วนหน้าและจมูกที่ยาว มีปากขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ มีกรงเล็บที่แหลมคมทั้งตีนหน้าและตีนหลัง ใช้สำหรับขุดทำโพรงอยู่อาศัยและขุดหาอาหารกิน กินอาหารโดยการใช้ลิ้นที่ยื่นยาวและน้ำลายที่เหนียวตวัดกินแมลงจำพวกมด ปลวก และหนอนตามพื้นดิน และมีเกราะหุ้มอยู่ตามตัวเป็นแผ่น ๆ 


อาร์มาดิลโลเก้าแถบ (Dasypus novemcinctus)

มีข้อต่อเชื่อมต่อกันเหมือนชุดเกราะ โดยเฉพาะที่หัวไหล่และด้านท้ายลำตัว ทำให้ดูเหมือนกับลิ่นซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับ Pholidota มาก แต่ทั้งอาร์มาดิลโลและลิ่นเป็นสัตว์ที่อยู่ต่างอันดับกัน 


ฤดูร้อนแฟชั่นใหม่แขนสั้น 3 พิมพ์ลายเสื้อยืดสําหรับผู้ชาย,เสื้อยืดหลวมคอกลมสไตล์ยุโรปและอเมริกา
และอยู่ในอันดับใหญ่คนละอันดับกันด้วย โดยอาร์มาดิลโลมีความใกล้เคียงกับสลอทหรือตัวกินมดมากกว่า แต่ในอดีตทั้งอาร์มาดิลโลและลิ่นเคยถูกจัดอยู่ในอันดับเดียวกัน คือ Edentata ซึ่งแปลว่า "ไม่มีฟัน" แต่ความจริงแล้ว อาร์มาดิลโลมีฟัน เป็นฟันกรามที่มีขนาดเล็ก และไม่แข็งแรง


คลิปโตดอน 
(Glyptodon) คือบรรพบุรุษของอาร์มาดิลโลที่สูญพันธุ์ไปแล้วราว 10,000 ปีก่อน พวกมันมีขนาดตัวใหญ่เท่ากับรถโฟล์กเต่าคันหนึ่ง น้ำหนักประมาณ 800–840 กิโลกรัม อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ 

มีเกราะที่หุ้มตัวเป็นชิ้น ๆ รูปหกเหลี่ยมแตกต่างจากอาร์มาดิลโลในปัจจุบัน 

ปัจจุบันในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีโครงกระดูกของคลิปโตดอนที่สมบูรณ์แบบจัดแสดงอยู่ 


ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชาลส์ ดาร์วิน ได้ส่งมาให้เมื่อครั้งเดินทางไปสำรวจที่ทวีปอเมริกาใต้ รวมถึงชิ้นส่วนฟอสซิลต่าง ๆ ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ในยุโรป


ดูแล้วตัวสัตว์ชนิดนี้ไม่ต่างจากสมัยปัจจุบันมากเลยนะครับแต่สัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์ตัวมันจะใหญ่โตมโหฬารมากๆมันเป็นอะไรที่รู้สึกว่าตรงกันข้ามกับสัตว์ปัจจุบันเลยนะครับโดยเฉพาะตัวอาร์มาดิลโลเก้าแถบ (Dasypus novemcinctus)


ปัจจุบันกับบรรพบุรุษคลิปโตดอนยุคโบราณต่างกันราวกับฟ้ากับดินเลยนะครับปัจจุบันตัวเล็กนิดเดียวแต่สัตว์ยุคโบราณชนิดเดียวกันต้นตระกูลตัวใหญ่โตมโหฬาร

คนอึดตายยากJacob Miller อดีตทหารผู้รอดชีวิตในสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ถูกยิงเข้ากลางหน้าผาก


คนอึดตายยากJacob Miller อดีตทหารผู้รอดชีวิตในสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ถูกยิงเข้ากลางหน้าผาก

เจคอบถูกกระสุนพุ่งเข้ากลางหน้าผากเต็มๆทหารของสมาพันธรัฐอเมริกา ที่สมรภูมิชิคามัวกา (Chikamauga)


เรื่องประหลาดชวนอึ้งเมื่องครั้งสงครามกลางเมืองของสหรัฐ ที่คนอเมริกันมีความเห็นไม่ตรงกันนำไปสู่การสู้รบกันเองในสมัยประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น มีทหารอาสารอดชีวิตจากการถูกกระสุนปืนยิงเข้ากลางหน้าผาก


หนึ่งการรบกันเองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา หรือสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1861-1865 ภายหลังจากการที่ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นาน โดยอเมริกาแบ่งแยกกันเป็นสองฝ่ายคือ รัฐทางฝ่ายเหนือ หรือ “รัฐบาลสหรัฐ” ที่ดูแลโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ และรัฐทางฝ่ายใต้เป็นรัฐที่แต่งตั้งด้วยการร่วมตัวกันเป็น “สมาพันธรัฐอเมริกา” 
จำนวน 7 รัฐ


ยุโรปและอเมริกาผู้ชายยืนคอปกการค้าต่างประเทศผ้าฝ้ายลินินเสื้อแขนสั้น Amazon wish เสื้อระเบิด

เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะนโยบาย “ยกเลิกทาส” ที่รัฐทางใต้มองว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบเพราะทาสเป็นแรงงานที่จำเป็นอย่างมากในเมืองเกษตรกรรม จึงประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากรัฐบาลสหรัฐฯ ง่ายๆ คือ รัฐทางใต้จะขอปกครองกันเอง ฝ่ายเหนือเอ็งไม่ต้องมายุ่ง


เป็นชนวนนำไปสู่สงครามที่ยืดเยื้อกว่าสี่ปี มีทหารและประชาชนสหรัฐอเมริกาของทั้งสองฝ่ายล้มตายกันเป็นจำนวนมากข้อมูลระบุว่าอาจสูงถึง 620,000 คนและบาดเจ็บอีกนับไม่ถ้วน และหนึ่งในผู้รอดชีวิตของทหารอาสาของฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ คือนายเจคอบ มิลเลอร์ ที่ใครจะเชื่อว่าการยิงปืนเข้ากลางหน้าผากไม่สามารถทำอะไรเขาได้ 


👉จากการปะทะกับทหารของสมาพันธรัฐอเมริกา ที่สมรภูมิชิคามัวกา (Chikamauga) ในรัฐเวอร์จิเนีย เจคอบถูกกระสุนพุ่งเข้ากลางหน้าผากเต็มๆ ก่อนที่หน่วยของเขาจะถอยทัพกลับไปเนื่องจากคิดว่าเขาเสียชีวิตแล้ว เขาเล่าว่าเขาสลบไปแต่เมื่อตื่นมาก็รู้สึกชาไปพร้อมเลือดอาบไปทั้งตัว และรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายศัตรูจึงพยุงตัวเองแล้วหาหนทางจนเดินกลับไปยังฝั่งตัวเองได้สำเร็จชนิดที่เพื่อนทหารเองก็คาดไม่ถึง

ท้ายที่สุดรัฐทางเหนือ (รัฐบาลสหรัฐฯ) สามารถปราบฝ่ายใต้จนสำเร็จและประธานาธิบดีสหรัฐฯ อับราฮัม ลินคอล์นก็สามารถผลักดันกฎหมายเลิกทาสได้สำเร็จ ภายหลังจากเสร็จสิ้นสงคราม นายเจคอบ มิลเลอร์ได้รับเหรียญรางวัลในวีรกรรมที่กล้าหาญของทหารอาสา และยังคงใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่ได้รับการผ่าตัดกระสุนออกเนื่องจากหมอคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป 


เขาจึงต้องใช้ชีวิตโดยมีกระสุนอยู่ในหัวไปอีก 54 ปี และเสียชีวิตลงด้วยอายุ 77 ปี หากจะเรียกคนไหนว่าตายยากลุงรายนี้ต้องมีชื่อติดอยู่ด้วยแน่นอน

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567

ข้อมูลใหม่ฉีกตำราเดิม ชี้คนแพร่เชื้อกาฬโรคไม่ใช่หนู


🐹เดิมเชื่อกันว่าหนูเป็นตัวการแพร่เชื้อกาฬโรคในยุโรปยุคกลาง จนทำให้มีผู้คนล้มตายกันหลายล้านคน

ผลการศึกษาล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยออสโลของนอร์เวย์และมหาวิทยาลัยเฟอร์ราราของอิตาลี ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ PNAS ระบุว่า
พบหลักฐานที่ชี้ว่าความเชื่อเรื่องหนูเป็นตัวการแพร่เชื้อกาฬโรคในยุโรปยุคกลางนั้นไม่เป็นความจริง แต่มนุษย์ด้วยกันต่างหากคือพาหะของโรคที่อันตรายยิ่งกว่า โดยกาฬโรคทำให้มีผู้คนล้มตายกันหลายล้านคนในช่วงศตวรรษที่ 14 เรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 19


ก่อนหน้านี้วงการวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์การแพทย์เชื่อว่า หมัดที่อาศัยอยู่กับตัวหนูสามารถกัดและแพร่เชื้อกาฬโรคให้กับคน จนเป็นเหตุให้เกิดโรคระบาดแพร่ไปอย่างรวดเร็ว คร่าชีวิตผู้คนในยุโรปถึง 25 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นจำนวนมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรยุโรประหว่างปี 1347-1351

แต่อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยผู้เสนอผลการศึกษาล่าสุดได้ตรวจสอบข้อสันนิษฐานดังกล่าว โดยใช้ข้อมูลเรื่องการระบาดและการตายของประชากรในเมือง 9 แห่งของยุโรป ที่มีการจดบันทึกไว้เป็นอย่างดีมาวิเคราะห์ จากนั้นได้สร้างแบบจำลองพลวัตรของการระบาดที่เป็นไปได้ 
3 แบบ คือการระบาดจากหนู การระบาดด้วยการแพร่เชื้อทางอากาศ และการระบาดจากตัวหมัดและเหาที่อยู่ตามร่างกายและเสื้อผ้าของมนุษย์ ขึ้นมาใช้ทดสอบข้อมูลเหล่านี้


หนูดำ (Rattus rattus) ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการแพร่เชื้อกาฬโรคมาหลายร้อยปี
ผลการทดสอบข้อมูลที่บันทึกไว้กับแบบจำลองทั้ง 3 แบบพบว่า มีข้อมูลของเมืองถึง 7 ใน 9 แห่ง ที่สอดรับกับวงจรการระบาดจากตัวหมัดและเหาที่อยู่ตามร่างกายและเสื้อผ้าของมนุษย์เอง..

ศาสตราจารย์นีลส์ สเตนเซธ ผู้นำคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยออสโลบอกว่า การติดต่อผ่านปรสิตในมนุษย์จะทำให้เชื้อกาฬโรคระบาดไปได้อย่างรวดเร็วเป็นวงกว้างมากที่สุด เพราะเป็นการแพร่เชื้อจากคนสู่คนโดยตรง ในขณะที่การระบาดจากหมัดหนูจะช้ากว่า เพราะเชื้อต้องไปใช้เวลาผ่านวงจรชีวิตของหนูมาก่อนที่จะมาถึงคน

ผลการวิจัยยังชี้ว่า การป้องกันเหตุกาฬโรคระบาดในอนาคตขึ้นอยู่กับการรักษาสุขอนามัยเป็นสำคัญ รวมทั้งขึ้นอยู่กับการกักกันควบคุมผู้ติดเชื้อ ไม่ให้เที่ยวออกไปแพร่เชื้อให้ผู้อื่นในที่สาธารณะ "หากคุณรู้สึกไม่สบาย ก็ควรจะอยู่กับบ้าน" ศาสตราจารย์สเตนเซธกล่าว
ปัจจุบันยังคงมีการระบาดของกาฬโรคอยู่บ้างในบางพื้นที่ของภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และบางส่วนของทวีปอเมริกา โดยยังคงมีเชื้อกาฬโรคหลงเหลืออยู่ในประชากรหนูแถบนั้น 


องค์การอนามัยโลกระบุว่า ระหว่างปี 2005-2010 มีรายงานผู้ติดเชื้อกาฬโรค 2,348 รายจากทั่วโลก และมีรายงานผู้เสียชีวิตทั้งหมด 584 ราย

👉Happy shoppee here
สร้างสรรค์ อิสระเสรีภาพ 
รวบรวมค้นหาสินค้าดีๆจาก shoppee เพื่อคุณ เข้ามาเลือกดูสินค้าได้เลยครับ


เมื่อปี 2001 มีการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อกาฬโรค โดยใช้เชื้อที่ได้จากสัตวแพทย์ผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯเมื่อปี 1992 หลังติดเชื้อกาฬโรคจากแมวที่จามใส่เขา หลังเขาพยายามช่วยมันขึ้นมาจากใต้ถุนบ้าน

นิยามคำว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว


คำว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว


จากภาวะวุ่นวายใจหลายด้าน ทั้งปัญหา อุปสรรค ที่กระหน่ำซำเติมมาเป็นระยะๆ ก็เลยมุ่งหาธรรมะ เป็นเครื่องคุ้มครองใจไม่ให้หวั่นไหวได้รับความรู้สึกนี้ที่เกิดขึ้นกับคำว่า ทำดีได้ดี ทำชัวได้ชั่วดังนี้

ทำดี” ก็คือ คิดดี พูดดี ทำดี
ทำชั่ว” ก็คือ คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี
ได้ดี” ก็คือ ความสุขใจ สบายใจ
ได้ชั่ว” ก็คือ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ

อย่างน้อยคำจำกัดความนี้ก็บำรุงรักษาจิตใจได้อย่างดี
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ปัจจุบันคงไม่ค่อยได้ยินกันแล้ว เดี๋ยวนี้คงเป็น "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป"คำพูดนี้อาจจะออกมาจากความท้อแท้หรือน้อยเนื้อต่ำใจ ของคนที่ทำดีแล้วไม่ได้ดี เห็นแต่คนที่ทำไม่ดีกลับได้ดี


1.ทำดี แล้วจะเอาอะไรมาวัดการทำความดี ในความคิดเราน่าจะเป็น
"ความสมควร ความเหมาะสม ที่สังคมยอมรับ"
(คนส่วนใหญ่)ที่ทำแล้วเกิดผลดีต่อคนอื่น ทำให้แยกได้ว่า
-คนดี คือคนที่ทำให้เกิดผลดีต่อส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตัว ทำให้เกิดคุณค่าต่อคนอื่น
-คนไม่ดี คือคนที่ทำให้เกิดผลไม่ดีต่อส่วนรวม เห็นแก่ตัว ทำความเสียหายให้คนอื่น


2.ได้ดี เป็นอย่างไร เป็นการทำอะไรสักอย่างแล้วได้ผลตอบกลับมาที่ตนเอง แล้วทำให้ตนเองรู้สึกดี
-คนที่ได้ดี คือคนที่ได้รับผลดีต่อตนเอง ให้ตนเองมีคุณค่ามากขึ้น
-คนที่ไม่ได้ดี คือคนที่ได้รับผลที่ไม่ดีต่อตนเอง หรือ ไม่ได้ตามที่ตนเองคาดหวัง

ทำให้ได้ข้อสังเกตุว่า การทำดีได้ดี เป็น "การกระทำให้ผู้อื่นได้รับสิ่งดีๆและเราจะได้รับความรู้สึกดีๆ"
แต่เราจะพยายามมองในด้านตัวเราเองมากเกินไป คาดหวังเกินไป เราทำให้คนอื่นดีแต่สิ่งที่เราได้รับกลับมาไม่เป็นดั่งที่เราหวังไว้ เราลืมไปหรือเปล่าว่าเราได้อะไร สิ่งนั้นคือความรู้สึกดีๆ ความสุขที่เราได้ทำให้ผู้อื่นสิ่งๆนี้เป็นสิ่งที่วิเศษที่คนอื่นจะมองไม่ เห็น เราจะรับรู้ที่ตัวเราเองเท่านั้น เปลี่ยนความคิดบ้างอย่าไปหวังที่วัตถุมากเกินไป "เราลองทำอะไรโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนสิ" อาจจะพูดแบบนี้ไม่ถูกเพราะทุกอย่างมีเหตุและผลแล้วอะไรล่ะ?ที่เป็นผล ผลนั้นก็คือ ความรู้สึกดีๆที่เราได้รับนั้นเอง

อย่าท้อถอยกับการทำความดี อย่างน้อยเราก็ได้ทำ อย่างน้อยเราก็รู้สึกดี ถึงผลที่เราคาดหวังไว้จะไม่เป็นไปตามนั้นแต่บางทีเราก็คิดนะ เช่น เราขยันตั้งใจทำงาน ต้องการให้งานออกมาดี แต่กลับมีปัญหาต่างๆ มองเพื่อนที่ขี้เกียจไม่ค่อยทำงาน กลับได้รับการเอาใจใส่อย่างดี งานราบรื่น แต่เราต้องดึงจิตใจของเรากลับมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่หลุดจากความรู้สึกไม่ดีแบบนั้น ด้วยการคิดว่า"อย่างน้อยเราก็ได้ทำ อย่างน้อยเราก็รู้สึกดี "จะยังไงเราก็จะพยายามทำดีต่อไป ต้องใช้คำว่าพยายามให้มาก เพราะความพยายามเป็นการบ่งบอกถึงความพร้อม ความตั้งใจ ที่จะทำ


Happy shoppee here
สร้างสรรค์ อิสระเสรีภาพ 
รวบรวมค้นหาสินค้าดีๆเพื่อคุณ

บางคนจะบอกว่าเริ่มทำดีอย่างไร หลักง่ายๆ
1.เราตั้งเป้าหมายไว้คือ "ทำความดี"
2.จะไปถึงได้ไง เราก็ต้อง"พยายาม"ก่อน
3.เมื่อเรารู้ว่าเราต้องพยายามทำ เราก็จะเริ่มเอง

คำว่า "อุตส่าห์" มาจาก อุตสาหะ หรือพยายาม เดี๋ยวนี้คนจะแปลความหมายของคนพูดไปผิดๆ ไปเป็นการทวงบุญคุณ เช่น ผมอุตสาห์มารอคุณเลิกงาน อีกฝ่ายจะคิดว่าลำบากนักก็ไม่ต้องมาสิ แต่ไม่ยอมมองถึงว่าคนพูดต้องการสื่อถึงอะไร เขาต้องการจะบอกว่า "เขาทนความลำบากนี้เพื่อคุณได้นะ" ความหมายแตกต่างกันเลย ลองมองคนอื่นในแง่ดีบ้าง จะทำให้อะไรๆดีขึ้น แล้วจะทำให้คำที่ว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" ลดน้อยลงไป...

เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย musa

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2567

ฟอสซิลของดิกคินโซเนีย สิ่งมีชีวิต 558 ล้านปี คือสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์จำพวกแรกของโลก และเป็นสัตว์ชนิดเก่าแก่ที่สุด


ฟอสซิลของดิกคินโซเนีย สิ่งมีชีวิต 558 ล้านปี  คือสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์จำพวกแรกของโลก และเป็นสัตว์ชนิดเก่าแก่ที่สุด

ฟอสซิลของดิกคินโซเนียสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์จำพวกแรกของโลก ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่ง


นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) ค้นพบร่องรอยของโมเลกุลคอเลสเตอรอล ในซากฟอสซิลสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่มีอายุถึง 558 ล้านปี ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งมีชีวิตดังกล่าวเป็นสัตว์ ไม่ใช่พืชหรือเชื้อรา ทั้งยังเป็นสัตว์ชนิดเก่าแก่ที่สุดของโลก เท่าที่เคยมีการค้นพบมาอีกด้วย

สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีชื่อว่า "ดิกคินโซเนีย" (Dickinsonia) เป็นสัตว์ทะเลซึ่งมีลักษณะคล้ายแมงกะพรุนที่ถูกผ่าลำตัวบางส่วนออก เดิมถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตโบราณยุคอีดีแอคารัน (Ediacaran) ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์จำพวกแรกที่ปรากฏตัวขึ้นบนโลกเมื่อราว 635-541 ล้านปีก่อน

ก่อนหน้านี้นักบรรพชีวินวิทยาไม่สามารถจำแนกชี้ชัดได้ว่า ดิกคินโซเนียและสิ่งมีชีวิตยุคอีดีแอคารันเป็นพืช สัตว์ หรือเชื้อรากันแน่ เนื่องจากไม่พบร่องรอยของสารอินทรีย์ในซากฟอสซิลที่แสดงว่าเป็นสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น ๆ มาก่อน จนกระทั่งได้มาพบโมเลกุลของคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นไขมันที่มีในสัตว์ ในฟอสซิลดิกคินโซเนียหลายชิ้นที่ได้มาจากชายฝั่งทะเลขาว (White Sea) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซีย


มีการตีพิมพ์รายงานการค้นพบดังกล่าวลงในวารสาร Science โดยนายอิลยา โบบรอฟสกี นักศึกษาวิจัยระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ผู้นำการวิจัยครั้งนี้ระบุว่า "ฟอสซิลเหล่านี้มาจากภูมิภาคที่ห่างไกลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทีมสำรวจต้องเดินทางไปด้วยเฮลิคอปเตอร์ และต้องปีนหน้าผาสูงเพื่อเจาะเอาฟอสซิลเหล่านี้ออกมาจากหินทรายที่ส่วนกลางของหน้าผา"

"เดิมทีการศึกษาสิ่งมีชีวิตยุคอีดีแอคารัน จะใช้ฟอสซิลที่พบบริเวณเนินเขาอีดีแอคาราในออสเตรเลียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งฟอสซิลกลุ่มนั้นแทบจะไม่มีร่องรอยของสารอินทรีย์หลงเหลืออยู่ เพราะได้ผ่านความร้อน แรงกดดันใต้พื้นพิภพ และถูกชะล้างด้วยสภาพภูมิอากาศมานานหลายล้านปี ต่างจากฟอสซิลในยุคเดียวกันจากรัสเซียซึ่งยังคงมีโมเลกุลของคอเลสเตอรอลหลงเหลืออยู่สูงถึง 93% เลยทีเดียว" นายโบบรอฟสกีกล่าว


การค้นพบครั้งนี้เท่ากับไขปริศนาด้านบรรพชีวินวิทยาที่ติดค้างอยู่มานานถึง 75 ปีให้กระจ่าง โดยนักวิทยาศาสตร์สามารถสรุปได้ว่า สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์จำนวนมากเมื่อ 558 ล้านปีก่อนนั้น มักเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่และพบได้ทั่วไปในท้องทะเล แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตยุคอีดีแอคารันได้สูญพันธุ์ไปเป็นส่วนใหญ่ เมื่อย่างเข้าสู่ยุคแคมเบรียนที่มีสัตว์หลากหลายชนิดพันธุ์เกิดขึ้น

👉เวลาเราอ่านเกี่ยวกับหรือดูภาพยนตร์ยุคไดโนเสาร์ยุคดึกดำบรรพ์มันทำให้เรามีจินตนาการกว้างไกลและ มีข้อพิสูจน์บ่งชี้ต่างๆนานาจากฟอสซิลที่
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบมันยิ่งทำให้หลายๆคนมีความคิดจินตนาการ

ไปว่ายุคดึกดำบรรพ์ยุคไดโนเสาร์มันคงจะมีอะไรๆที่มีธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่น่าตื่นเต้นมากๆแล้วมีอะไรที่แปลกๆให้ดูเยอะแยะเสียดายที่เราไม่สามารถย้อนไปในอดีตได้

รายการบล็อกของฉัน