ทำดี ไม่จำเป็นต้องมีไครเห็น
เพราะ เพราะการทำดีมีคุณค่าในตัวมันเอง
ถึงไม่มีไครเห็นแต่ตัวคุณเห็นนิว่าคุณค่าของมันอยู่ที่ไหนมันคือทรัพสมบัติสุดท้ายของเรา
ไม่มีไครเอาไปได้
ความดีหรือบุญกุศลเปรียบเหมือนแสงไฟ
ที่ทำบุญกุศลอยู่อย่างสม่ำเสมอเพียงพอ
แม้จะเหมือนไม่ได้รับผลของความดี
และบางครั้งก็เหมือนทำดีไม่ได้ดี
ทำดีได้ชั่วเสียด้วยซ้ำ
เช่นนี้ก็เหมือนจุดไฟในท่ามกลางแสงสว่าง
ยามกลางวัน
ย่อมไม่ได้ประโยชน์ จากแสงสว่างนั้น แต่ถ้าตกค่ำมีความมืดมาบดบังแสงสว่างนั้น
ย่อมปรากฏขจัดความมืดให้สิ้นไป
สามารถแลเห็นอะไรๆ ได้ เห็นอันตรายที่อาจมีอยู่ได้
จึงย่อมสามารถหลีกพ้นอันตรายเสียได้
ส่วนผู้ไม่มีแสงสว่างอยู่กับตน เช่นไม่มีเทียนจุดอยู่
เมื่อถึงยามกลางคืนมีความมืดมิด
ย่อมไม่อาจขจัดความมืดได้
ไม่อาจเห็นอันตรายได้
ไม่อาจหลีกพ้นอันตรายได้ ผู้ทำความดีเหมือนผู้มีแสงสว่างอยู่กับตัว
ไปถึงที่มืดคับขัน
ย่อมสามารถดำรงตนอยู่ได้ด้วยดี
พอสมควรกับความดีที่ทำอยู่
ตรงกันข้ามกับผู้ไม่ได้ทำความดี
ซึ่งเหมือนกับผู้ไม่มีแสงสว่างอยู่กับตัว
ขณะยังอยู่ในที่สว่าง
อยู่ในความสว่างก็ไม่ได้รับความเดือดร้อน
แต่เมื่อใดตกไปอยู่ในที่มืดคือที่คับขัน
ย่อมไม่สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่างสวัสดี
ภัยอันตรายมาถึงก็ไม่รู้ไม่เห็น ไม่อาจหลีกพ้น
คนทำดีไว้เสมอกับคนไม่ทำดีแตกต่างกันเช่นนี้ประการหนึ่ง การทำดีต้องไม่มีพอ
ต้องทำให้ยิ่งขึ้นอยู่เสมอ
เพราะไม่มีใครอาจประมาณได้ว่า
เมื่อใดจะตกไปในที่มืดมิดขนาดไหน
ต้องการแสงสว่างจัดเพียงใด
ถ้าไม่ตกเข้าไปในที่มืดมิดมากมายนัก
มีแสงสว่างมากไว้ก่อน ก็ไม่ขาดทุน ไม่เสียหาย แต่ถ้าตกเข้าไปในที่มืดมิดมากมาย แสงสว่างน้อย
ก็จะไม่เพียงพอจะเห็นอะไรๆ ได้ถนัดชัดเจน
การมีแสงสว่างมากจะช่วยให้รอดพ้น
จากการสะดุดหกล้มลงเหวลงคู
หรือ ตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายจนถึงตายถึงเป็น อานุภาพของความดีหรือบุญกุศลนั้นเป็นอัศจรรย์จริง
เชื่อไว้ดีกว่าไม่เชื่อ และเมื่อเชื่อแล้ว
ก็ให้พากันแสวงหาอานุภาพของความดี
หรือบุญกุศลให้เห็นความอัศจรรย์ด้วยตนเองเถิด...
หาสุขในกองทุกข์ ไม่ได้สุขก็บ่นไป หาเย็นในกองไฟ เมื่อไม่ได้ก็คร่ำครวญ
หาสิ่งที่ไม่มี ก็แปลกดีมันน่าสรวล ร่ำไห้พิไรหวล น่าหัวร่อจริงหนอเรา
เกิด มาแล้วบ่ายหน้า ไปไหน แก่ บอกว่าบ่ายไป สู่ม้วย
เจ็บ ว่าไม่เป็นไร เราช่วย ซ้ำนา ตาย ว่าข้าเอาด้วย ห่อนให้ ใครเหลือ
สุขทุกข์อยู่ ที่ใจ มิใช่หรือ ถ้าใจถือ ก็เป็นทุกข์ ไม่สุกใส ถ้าไม่ถือ ก็เป็นสุข ไม่ทุกข์ใจ เราอยากได้ ความสุข หรือทุกข์นา
อดีตกาล ผ่านไป ไม่กลับหลัง อนาคต ก็ยัง มาไม่ถึง
ปัจจุบัน สำคัญ ควรคำนึง ตรองให้ซึ้ง คุณความดี มีหรือยัง
อย่าปล่อยให้ วันวาน ที่ผ่านพ้น ทำให้เรา ทุกข์ทน จนหม่นไหม้ มัวครุ่นคิด อาจทำผิด ซ้ำลงไป ก็เพิ่มวัน เสียใจ ไปอีกวัน
คนประมาท เสียใจ เมื่อใกล้ม้วย เนื่องด้วย ไม่ทันสร้าง ทางสวรรค์
สร้างเมื่อเจ็บ ใกล้ตาย มักไม่ทัน พึงรีบสร้าง ทางไว้พลัน นั่นแหละดี
อย่าดูถูก บุญกรรม ว่าทำน้อย จะไม่ต้อย ตามต้อง สนองผล เหมือนตุ่มน้ำ วางหงาย รับสายชล ย่อมเต็มล้น ด้วยอุทก ที่ตกลง
อันความดี ทำไว้ กับใครนั้น ไม่มีวัน ลับหาย ในภายหน้า กายอาจเลือน ลับหาย จากสายตา ดีไม่ลา ลับหาย จากสายใจ
อันยศศักดิ์ ชื่อเสียง เพียงความฝัน ฝ่ายรูปโฉม โนมพรรณ ฉันบุปผา
อันชีวิต เปรียบหมาย เหมือนสายฟ้า อนิจจา ไม่ได้มี จีรังกาล
อันคืนวัน พลันดับ ลงลับล่วง ท่านทั้งปวง อุตส่าห์สร้าง ทางกุศล แก่ลงแล้ว รำพึง ถึงตัวตน อายุคน นั้นไม่ยืน ถึงหมื่นปี
วันเดือนปี ที่ผ่านไป คล้ายความฝัน ชีวิตพลัน หมดไป น่าใจหาย
มวลญาติมิตร เงินทอง ของมากมาย ต้องมลาย จากกัน เหมือนฝันเอย
ธรรมดา ของสังขาร คือการดับ ไม่มีกลับ คืนเป็น เช่นลมหวน เป็นของจริง จงจำ อย่าคร่ำครวญ สิ่งที่ควร เร่งทำ คือกรรมดี
อย่าทนทุกข์ กับอดีต อันขมขื่น อย่าเริงรื่น อนาคต อันสดใส ปัจจุบัน ย่อมสำคัญ กว่าสิ่งใด ถ้าตั้งใจ ไว้พอดี มีสุขเอย
อันลาภยศ สรรเสริญ พาเพลินใจยามยิ่งใหญ่ สุขใจจริง หยิ่งผยอง ยามเสื่อมลาภ ไร้ยศ หมดลำพอง รู้ทำนอง โลกธรรม ไม่ช้ำใจ
ความสุขก็ ยึดไว้ ไม่ได้ดอก ความทุกข์ก็ หลอกหลอก จริงที่ไหน ทุกทุกสิ่ง เพียงผ่านมา แล้วลาไกล เหลือไว้แต่ ความว่าง อย่างนั้นเอง
ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่มีเพียงแต่ ต้นทุน
บุญกุศล ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชนแม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ
บุญกุศล ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชนแม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน เจ้ามามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไร เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา
เราเกิดมา เวียนวน ในสงสาร แสนช้านาน ยิ่งนัก ทุกข์หนักหนา จนกับมี ดีกับชั่ว พัวพันมา เหลือระอา ถ้าจะนับ อัประมาณ
: แสงส่องใจ :
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เรียบเรียงใหม่โดย manman