Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เลือดสีทอง กรุ๊ปเลือดหายากที่สุดในโลก ปัจจุบันทั่วโลกมีไม่ถึง 50คน

รู้จักกับ “เลือดสีทอง” 
กรุ๊ปเลือดหายากที่สุดในโลก 
(ปัจจุบันทั่วโลกมีไม่ถึง 50 คน)

“เลือดสีทอง” (Golden Blood) หรือกรุ๊ป Rh-null กรุ๊ปเลือดที่หายากที่สุดในโลก (ปัจจุบันทั่วโลกมีเพียง 43 คนเท่านั้น) ซึ่งนอกจากจะหายากแล้ว การมีเลือดสีทองยังอันตรายมากอีกด้วย ซึ่งชื่อเลือดสีทองนั้นไม่ได้มาจากสีของเลือดจริง ๆ แต่เกิดจากความหายากและมีค่ามาก ทำให้ถูกตั้งชื่อว่า “เลือดสีทอง” นั่นเอง (รูปหน้าปกคือการแบ่งชั้นเลือดและพลาสมา)

นี่คือ “พลาสมา” เป็นของเหลวในร่างกายชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือด
จุดเริ่มต้นของเลือดสีทอง : ถูกพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1974 โดยแพทย์จากโรงพยาบาลเกเนวา (University Hospital of Geneva) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ รายงานว่า พบเด็กหนุ่มวัย 10 ขวบ ชื่อโธมัส ติดเชื้อโรคบางอย่าง ซึ่งที่น่าแปลกใจคือผลเลือดของเขานั้นไม่เข้ากับกรุ๊ปเลือดใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อตรวจเลือดของคนในครอบครัวปรากฏว่าไม่มีสมาชิกในครอบครัวคนใดมีเลือดกรุ๊ปนี้เลย จนภายหลังทราบว่า เลือดของโธมัสนั้นเกิดจากการวิวัฒนาการแบบสุ่ม (Random Mutations – การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมตามธรรมชาติแบบไม่ได้ตั้งใจ)

ซึ่งการแบ่งกรุ๊ปเลือดนั้นมีปัจจัยหลักอยู่ที่เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell) โดยในเซลล์เม็ดเลือดแดงของเราจะมีแอนติเจน (Antigen 👉– สารแปลกปลอมที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดี้ในร่างกาย) ทั้งหมด 342 ชนิด แต่ปกติแล้วในเซลล์เม็ดเลือดแดงของมนุษย์จะมีไม่ครบทั้งหมด และการขาดหายไปของแอนติเจนนี้คือตัวแบ่งกรุ๊ปเลือดนั่นเองครับ

ความอันตรายของการมีเลือดสีทองคือในเซลล์เม็ดเลือดแดงจะไม่มีแอนติเจนเลย ดังนั้นผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดพิเศษนี้จะไม่สามารถให้หรือรับเลือดจากกรุ๊ปอื่นได้ นอกจากกรุ๊ป Rh-null ด้วยกัน ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือต้องเข้ารับการผ่าตัดที่เสียเลือดมาก ผู้ที่มีเลือดสีทองจะหาเลือดมาทดแทนได้ยาก เพราะอย่างที่กล่าวว่าทั่วโลกมีเพียง 43 คนเท่านั้นนั่นเอง นั่นจึงเป็นเรื่องยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะส่งเลือดข้ามประเทศไปยังผู้ที่ต้องการได้

และแม้ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์นั้นก้าวไกลไปมาก แต่ทว่ายังไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนเลือดจากมนุษย์ด้วยกันได้ ดังนั้นการบริจาคจึงเป็นทางเลือกเดียวและทางเลือกที่ดีที่สุด โดยสถิติจาก WHO ระบุว่า ผู้ป่วยที่ไปโรงพยาบาลทุก ๆ 7 ราย จะมี 1 คนที่ต้องการเลือดเสมอ

👉 – เลือดของมนุษย์มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาทต่อลิตร โดยร่างกายของมนุษย์ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเฉลี่ย 50-70 กิโลกรัม จะมีเลือดอยู่ในตัวประมาณ 5-6 ลิตร เท่ากับว่าหากขายเลือดจนหมดตัว เราจะได้เงิน 1-1.2 แสนบาทครับ

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ชนเผ่าพื้นเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้ดอกลำโพงเป็นสารหลอนประสาทในพิธีกรรมเมื่อ 500 ปีก่อน

สัญลักษณ์บนเพดานใน "ถ้ำกังหัน" (Pinwheel Cave) ที่มีกากดอกลำโพงแปะติดอยู่

สัญลักษณ์บนเพดานใน "ถ้ำกังหัน" (Pinwheel Cave) ที่มีกากดอกลำโพงแปะติดอยู่

สัญลักษณ์ประหลาดสีแดงที่ปรากฏบนเพดานของ "ถ้ำกังหัน" (Pinwheel Cave) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย อาจไม่ใช่กังหันลมหรือรูปทรงในจินตนาการอย่างที่เคยคิดกัน แต่เป็นรูปดอกลำโพงขณะแรกแย้มบาน ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้ใช้เป็นสารหลอนประสาทในพิธีกรรมบางอย่างของชนพื้นเมืองอเมริกันมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 16

ทีมนักวิจัยจากหลายมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ และในสหราชอาณาจักร ตีพิมพ์ผลการศึกษาข้างต้นในวารสาร PNAS ฉบับล่าสุด โดยชี้ว่าพบหลักฐานที่ชนเผ่าชูมาช (Chumash) ใช้ดอกลำโพง (Datura wrightli) หลอนประสาทผู้คนให้มึนเมาและตกอยู่ในภวังค์ ขณะประกอบพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กเข้าสู่วัยที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

มีการค้นพบกากของดอกลำโพงที่เคี้ยวแล้วคายออกมา แปะติดอยู่กับสัญลักษณ์รูปกังหันบนเพดานถ้ำหลายชิ้น โดยซากของดอกไม้ที่มีอายุเก่าแก่เกือบ 500 ปีนี้ ยังหลงเหลืออยู่เป็นก้อนแข็งคล้ายกับเศษหมากฝรั่ง มีร่องรอยการใช้ฟันบดเคี้ยวและมีส่วนประกอบของน้ำลายปะปนอยู่ด้วย

ผลวิเคราะห์ยังพบว่ามีสารที่เป็นยาหลอนประสาทชนิด "สโคโปลามีน" (Scopolamine) และ "อะโทรพีน" (Atropine) ซึ่งพบในดอกลำโพงผสมอยู่ ทำให้ทีมผู้วิจัยชี้ว่านี่คือหลักฐานโดยตรงชิ้นแรกของโลก สำหรับการ "บริโภค" หรือการนำสารหลอนประสาทเข้าสู่ร่างกายอย่างชัดเจนในยุคโบราณ และยังเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่พบในโบราณสถานซึ่งมีร่องรอยงานศิลปะบนก้อนหินอีกด้วย

ดร. เดวิด โรบินสัน นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเซนทรัลแลงคาเชียร์ของสหราชอาณาจักร ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า "จากหลักฐานที่ค้นพบเพิ่มเติม ทำให้เรามั่นใจว่าสัญลักษณ์รูปกังหันที่วาดด้วยดินแดงนั้น ไม่ได้สื่อความหมายถึงกังหันลม หรือเป็นสัญลักษณ์นามธรรมที่วาดขึ้นจากภาพหลอนที่เห็นขณะมึนเมาสารเสพติดแต่อย่างใด"
ดอกลำโพง (Datura wrightli) ขณะกำลังคลี่บานจะมีรูปทรงคล้ายกังหัน

ดอกลำโพง (Datura wrightli) ขณะกำลังคลี่บานจะมีรูปทรงคล้ายกังหัน

"สัญลักษณ์นี้สื่อความหมายตรงตัว ซึ่งก็คือดอกลำโพงตอนกำลังแย้มบานในช่วงเช้าตรู่และพลบค่ำเพื่อผสมเกสร ในเวลานั้นมันจะมีรูปทรงคล้ายคลึงกับกังหันลมอย่างมาก"

ชนเผ่าชูมาชยังใช้ดอกลำโพงเป็นยารักษาโรคหลายขนาน รวมทั้งใช้เป็นเครื่องรางขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ป้องกันภูตผีปีศาจและใช้ในการทำนายโชคชะตาด้วย
คาดว่าสัญลักษณ์บนเพดานถ้ำกังหัน ซึ่งมีผู้ค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1999 นั้น เป็นภาพที่ช่วยน้อมนำให้จิตใจของผู้เข้าร่วมพิธีกรรมเข้าสู่ภาวะเคลิบเคลิ้ม ในถ้ำบางแห่งสัญลักษณ์นี้จะปรากฏเป็นรูปผีเสื้อเหยี่ยว (Hawk moth) ซึ่งเป็นผีเสื้อกลางคืนชนิดหนึ่งที่มักบินวนตุปัดตุเป๋ไปมา หลังดูดกินน้ำหวานจากดอกลำโพงเข้าไปจนเมา

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

นักล่าเอเลี่ยนฮือฮาอ้างยานนาซาถ่ายติดเมืองโบราณบนดาวอังคาร

ค้นหา
Custom Search
นักล่าเอเลี่ยนฮือฮา!อ้างยานนาซาถ่ายติดเมืองโบราณบนดาวอังคาร เดลิสตาร์ 

👉- นักล่าเอเลี่ยนอ้างพบหลักฐานเมืองโบราณบนดาวอังคาร ในภาพที่ถ่ายโดยยานสำรวจของนาซา คำกล่าวอ้างที่กระพือคำกล่าวหาว่าองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติอเมริกาพยายามปกปิดการมีอยู่จริงของมนุษย์ต่างดาว อย่างไรก็ตามเหล่านักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภาพแปลกๆบนดาวอังคาร เป็นแค่การจินตนาการกันไปเองเท่านั้น

ภาพปริศนาจากดาวอังคารที่ถ่ายโดยยานคิวริออสซิตี มีลักษณะคล้ายกับซากของกำแพงเมืองโบราณที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางหุบเขาหิน และมันได้กระตุ้นคำกล่าวอ้างครั้งใหม่ว่าครั้งหนึ่งอาจมีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่บนดาวดังกล่าว ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับเอเลี่ยนนี้ ปรากฎอยู่ในบล็อคโพสต์ ที่ใช้ชื่อว่า 
“ซากเมืองเอเลี่ยนบนดาวดังคาร?

ในภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของนาซา” เหล่านักล่าเอเลี่ยนเขียนลงบล็อคดังกล่าวว่า

“ในช่วง 2 ปีหลัง มีจำนวนภาพที่เผยให้เห็นสิ่งปลูกสร้างบนพื้นผิวของดาวอังคารเพิ่มเป็น 4 เท่า ในข้อเท็จจริงคือเกือบทุกภาพที่ยานโรเวอร์สของนาซาบนดาวอังคารส่งกลับมา จะพบเห็นวัตถุอย่างน้อย 1 อัน ที่ดูเหมือนเป็นลักษณะของการแกะสลักหรือสร้างขึ้นเอง”

👉“แน่นอนว่าวัตถุเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นผลของจินตนาการไปเอง( pareidolia) แต่ก็มีการค้นพบอื่นๆที่ไม่อาจปฏิเสธได้อย่างง่ายดาย ข้อเท็จจริงคือ พวกนักวิทยาศาสตร์เองก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่ชีวิตอัจฉริยะ บางทีอาจเคยมีวิวัฒนาการบนพื้นผิวบนดาวอังคารในอดีตที่นานมาแล้ว”  

สกอตต์ ซี วอริง นักล่าเอเลี่ยนแห่งเว็บไซต์ufosightingsdaily 
อ้างภาพถ่ายแบบเดียวกันของยานคิวริออสซิตี เผยให้เห็นสิ่งปลูกสร้างที่มีกระจก และกล่าวหาด้วยว่านาซากำลังพยายามปกปิดการค้นพบสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ เพื่อสกัดประชาชนไม่ให้ค้นหาคำตอบ 

 อย่างไรก็ตาม นาซา ปฏิเสธอย่างแข็งขันต่อคำกล่าวหาที่ว่าพวกเขาพยายามปกปิดการมีอยู่ของเอเลี่ยน ขณะที่เหล่านักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการมองเห็นสิ่งแปลกๆบนดาวอังคารอาจเป็นผลของ pareidolia 
(แนวโน้มที่จะเห็นอะไรต่อมิอะไรออกมาคลับคล้ายคน สัตว์ สิ่งของที่ตัวเองคุ้นเคย ฉะนั้นการประมวลผลภาพที่เห็นตรงหน้า จึงเป็นภาพที่สมองมนุษย์ประมวลผลปรุงแต่งตามจินตนาการที่เคยเจอออกมา) 

👉ขณะเดียวกันเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่ามันอาจเป็นแค่รูปแบบของแนวหินขรุขระบนพื้นผิวของดาวอังคารเท่านั้น

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

หนังสือปกหนังมนุษย์ Des destinees de l ame

ค้นหา
Custom Search
ปกหนังสือทำจากหนังคน !?
สำนักข่าว BBC ของอังกฤษเปิดเผยว่าหนังสือ “Des destinees de l”ame” หรือ “จุดหมายของวิญญาณ” ที่อยู่ในห้องสมุดหนังสือหายากของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นหนังสือที่ปกนั้นทำจากผิวหนังของมนุษย์ 

คาดว่าเป็นหนังสือปกหนังมนุษย์เพียงเล่มเดียวของมหาวิทยาลัยโดยหนังสือปกหนังมนุษย์เล่มนี้อยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2473 ผู้ประพันธ์คือ นายอาร์แซน อูเซ นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส เขาได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้แก่นายแพทย์ลูโดวิก บูแลนด์ ในช่วงปี 2423

ต่อมานายแพทย์บูแลนด์ได้ใช้ผิวหนังจากแผ่นหลังคนไข้หญิงซึ่งป่วยเป็นโรคจิตแล้วเสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ มาทำปกหนังสือ 

ข้อเท็จจริงดังกล่าวถูกระบุอย่างชัดเจนไว้ในหนังสือ ซึ่งนายแพทย์บูแลนด์ระบุด้วยว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสำหรับจิตวิญาณมนุษย์ควรจะมีปกทำจากมนุษย์เช่นเดียวกัน หน้าปกหนังมนุษย์นี้ไมได้แต่งเติมอะไรลงไปทั้งสิ้น 

เนื่องจากต้องการคงความงามของผิวหนังเอาไว้สำหรับกระบวนการใช้ผิวหนังมนุษย์มาทำปกหนังสือ (anthropodermic bibliopegy) 
นั้นมีมาตั้งแต่คริสตวรรษที่ 16 
โดยส่วนมากจะใช้ผิวหนังนักโทษประหารที่ขออุทิศร่างกางเพื่อวิทยาศาสตร์

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

7 มหาสมบัติลึกลับที่หายไปจากประวัติศาสตร์

👉วันนี้เราขอนำเสนอเรื่องราวของ 7 สมบัติที่หายไปจากประวัติศาสตร์ 
โดยจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเคยค้นพบ จนสมบัติบางชิ้นก็กลายเป็นเพียงตำนาน จะมีเรื่องอะไรบ้างไปอ่านกันเลย
สมบัติของโจรสลัดเคราดำ

ค้นหา
Custom Search
ในช่วงปี 1700 โจรสลัดสุดโหดชื่อกระฉ่อนอย่าง “แบล็คเบียร์ด” หรือ “โจรสลัดเคราดำ” ได้สร้างความหวาดผวาไปทั่วท้องทะเลแอตแลนติก ด้วยการออกปล้นทรัพย์สินมีค่ามากมายนับไม่ถ้วนจากทั่วสารทิศด้วยทัพโจรสลัดและอาวุธปืนใหญ่

หลังจากถูกจับกุมในปี 1718 ด้วยฝีมือของเรือโท Robert Maynard ชื่อของแบล็คเบียร์ดก็เหลือไว้เพียงตำนาน ต่อมาในปี 1996 ได้มีการค้นพบซากเรือที่เชื่อว่าเป็นเรือของโจรสลัดเคราดำ แต่กลับไม่พบสมบัติทั้งหลายในตำนานแต่อย่างใด

เพชรที่หายไปของพระเจ้าจอห์น

พระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษนั้นมีชื่อเสียงในด้านการสะสมและขโมยเพชรนิลจินดาจากหลายประเทศมาไว้ในครอบครองหรือแจกจ่ายให้กับกองทัพของตน


ในเดือนตุลาคม 1216 ขณะที่กำลังเดินทางออกจากนอร์ฟอล์ก พระเจ้าจอห์นได้ล้มป่วยอย่างกะทันหันจากโรคบิดจนต้องเดินทางกลับไปยังปราสาท แต่ขบวนรถที่ขนทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดได้ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในแม่น้ำ เครื่องเพชรมูลค่า 2,500 ล้านได้จมหายไปและยังไม่มีผู้ใดเคยพบ

ทองของ Leon Trabuco

ในช่วง Great Depression ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ลดต่ำ
ลงในขณะที่ทองคำมีมูลค่าสูงขึ้น เศรษฐีชาวเม็กซิกัน Leon Trabuco จึงได้จัดการฝังทองคำ 16 ตันของเขาไว้ในทะเลทรายใกล้นิวเม็กซิโก และตั้งใจว่าจะขุดขึ้นมาเมื่อทองมีราคาพุ่งสูงจนพอใจเท่านั้น

แต่เหตุการณ์ Gold Act ในปี 1934 ส่งผลให้การครอบครองทองถือเป็นการทำผิดกฎหมาย Trabuco และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาไม่สามารถนำทองคำทั้งหมดที่ฝังไว้ขึ้นมาได้จนกระทั่งทุกคนเสียชีวิตไปจนหมด โดยทองคำทั้งหมดยังถูกทิ้งไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่งกลางทะเลทรายแห้งแล้ง

 
มนุษย์ปักกิ่ง

ในปี 1930 มีการขุดค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์โบราณเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เรียกกันว่า “มนุษย์ปักกิ่ง” แต่เรือที่บรรทุกกระดูกทั้งหมดของมนุษย์ปักกิ่งเพื่อนำไปยังสหรัฐอเมริกาได้จมลงกลางมหาสมุทรในปี 1945 ทำให้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดจมหายไปในท้องทะเล
สมบัติของ Alamo

เชื่อกันว่าสมบัติมากมายถูกทิ้งไว้ในสถานที่ที่เกิดการต่อสู้ระหว่างชาวอเมริกัน 188 คนกับกองทัพเม็กซิกันในปี 1836

ซึ่งสมบัติที่เรียกว่า “San Saba Treasure” ที่ชาวอเมริกันขนมานั้นมีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

ห้องอำพัน

The Amber Room หรือห้องอำพันคือห้องโถงเก็บสมบัติสูง 11 ฟุตที่เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาและทองคำมากมายนับไม่ถ้วน เชื่อกันว่าแรกเริ่มนั้นสร้างขึ้นเพื่อถวายพระเจ้าฟรีดริชที่ 1 แห่งปรัสเซีย และต่อมาก็ตกเป็นของจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซียในปี 1716 โดยมูลค่าทั้งหมดของห้องนี้อยู่ที่ราว 5 พันล้านบาท

The Ark of The Covenant

สิ่งประดิษฐ์ที่เป็นตำนานชิ้นนี้เชื่อกันว่าออกแบบโดยฝีมือของพระเจ้า หลังจากการต่อสู้ของอาณาจักรบาบิโลเนียและชาวอิสราเอลในช่วง 597-586 ปีก่อนคริสต์ศักราชก็ไม่มีใครพบสมบัติชิ้นนี้ที่เคยอยู่ในวิหารแห่งหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มอีกเลย

เผยความลับแห่งการค้นพบ โครงกระดูกแม่มด ในโปแลนด์

ค้นหา
Custom Search
ความลึกลับที่ยากจะหาข้อพิสูจน์มักเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปสนใจใคร่รู้ และจากการขุดค้นเศษซากแห่งประวัติศาสตร์ อาจทำให้บางสิ่งที่ถูกปิดบังไว้เปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัว เมื่อมีการพบโครงกระดูกลึกลับที่มีหลักฐานให้นักโบราณคดีสันนิษฐานให้เชื่อว่า เจ้าของโครงกระดูกนี้เป็น "แม่มด" 

โดยโครงกระดูกดังกล่าวถูกขุดพบที่สุสานในโปแลนด์โดยนักโบราณคดีที่ชื่อว่า แครอล ปยาเชคสกี้ (Karol Piasecki) เมื่อตรวจดูสภาพของโครงกระดูกแล้วพบก้อนอิฐถมทับและรูที่ปรากฏขึ้นหลายส่วนของโครงกระดูก ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานที่ว่าชาวบ้านสมัยก่อนอาจตื่นกลัวโครงกระดูกของแม่มดนี้ จะฟื้นชีวิตลุกขึ้นมาจากหลุมศพและเที่ยวแก้แค้นหรือทำร้ายคนในหมู่บ้าน หากไม่ยึดโครงกระดูกให้ติดกับพื้นพร้อมทั้งถมทับด้วยก้อนอิฐ

ซึ่งในครั้งแรกที่พบซากโครงกระดูกนั้น ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น "แวมไพร์" เพราะถูกฝังไกลออกไปจากสุสานใหญ่ แถมมีร่องรอยของพิธีกรรมสะกดวิญญาณอยู่ด้านบนพื้นดินเหนือหลุมศพ แต่เมื่อตรวจ DNA 
จากกระดูกของศพแล้วพบว่าเป็นร่างของ“ผู้หญิง” ซึ่งน่าจะมีผมสีบลอนด์และตาสีฟ้า แถมยังเป็นผู้ที่ถูกทรมานก่อนเสียชีวิตอีกด้วย

สำหรับประเทศโปแลนด์ หญิงที่ถูกกล่าวว่าเป็นแม่มดมักจะเป็นภรรยาหรือคนรักของบุคคลฐานะมั่งคั่งของสังคม และพวกเธอจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดทันที หลังจากความสัมพันธ์ของเธอกับสามีย่ำแย่ลง หรือยามที่ผู้คนเกลียดชังพวกเธอมาก ๆ โครงกระดูกนี้เชื่อว่าน่าจะถูกฝังมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 หรือ 17

เกรชกอร์ซ คูร์ก้า 
(Grzegorz Kurka) ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่เก็บโครงกระดูกนี้เอาไว้กล่าวว่า “ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาไม่ได้เผาเธอทั้งเป็น แต่กลับฝังเธอเอาไว้ให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นมามีชีวิตได้อีก”
นอกจากนี้ เขายังบอกว่าภายในสิ้นปี จะพยายามค้นพบให้ได้ว่าเจ้าของร่างโครงกระดูกนี้มีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ โดยใช้เทคโนโลยีการตรวจจับโครงใบหน้าเป็นตัวช่วย

เผยที่มาร่องรอยปริศนา ริมแม่น้ำแยงซีเกียง ฟอสซิลเก่าแก่ที่สุดกว่า 550 ล้านปี

ค้นหา
Custom Search
หนานจิง, ทีมวิจัยระดับนานาชาติ
ค้นพบฟอสซิลไบแลเทอเรียนอายุประมาณ 550 ล้านปีในจีน 
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหลักฐานฟอสซิลของสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดที่มีลักษณะเป็นปล้องและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
ซากดึกดำบรรพ์ของ “ยีลิงเจีย สไปซิฟอร์มิส” (Yilingia spiciformis) หรือ สิ่งมีชีวิตคล้ายหนอนสายพันธุ์นี้ถูกพบบริเวณแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งมีลักษณะตรงกับร่องรอยที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งฝากฝังไว้บนโลกก่อนสูญพันธุ์ ไขข้อข้องใจให้แก่นักวิจัย เกี่ยวกับวิวัฒนาการสำคัญของสัตว์ที่มีลักษณะสมมาตรทั้งสองข้าง หรือที่เรียกว่า “ไบแลเทอเรียน” ได้ในที่สุด
การวิจัยครั้งนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารธรรมชาติ เมื่อวันพฤหัสบดี ที่แล้วมา 

โดยทีมงานซึ่งประกอบด้วย
นักวิจัยจากสถาบันธรณีวิทยาและบรรพชีวินหนานจิง ภายใต้สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน และ มหาวิทยาลัย เวอร์จิน เทค ในสหรัฐอเมริกา

การกำเนิดของไบแลเทอเรียนที่มีลักษณะร่างกายแบ่งเป็นปล้อง ถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งของวิวัฒนาการสัตว์ยุคแรก
แม้นักวิทยาศาสตร์เคยคาดการณ์ไว้จากการวิเคราะห์นาฬิกาชีวภาพระดับโมเลกุลว่า สัตว์ไบแลเทอเรียนที่เป็นปล้องและเคลื่อนที่อย่างอิสระ มีชีวิตอยู่ในยุคอีดีแอคารัน  
(635-539 ล้านปีก่อน) แต่ก็ไม่มีหลักฐานฟอสซิลที่น่าเชื่อถือประกอบความคิดนี้

การค้นพบฟอสซิลยีลิงเจีย สไปซิฟอร์มิสครั้งนี้จึงให้ความกระจ่างยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสัตว์ยุคอีดีแอคารัน ที่มีเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถทิ้งร่องรอยการเดินทางไว้ได้ยาวและต่อเนื่องเช่นนี้ได้
การกำเนิดของสัตว์ที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเช่นนี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในเชิงลึก และท้ายที่สุดก็นำไปสู่การปฏิวัติของซับสเตรตและการผลิตพืชในยุคแคมเบรียน

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

พบ ฟรุตเค้ก อายุ 100 ปี ที่ยังสามารถกินได้

ค้นหา
Custom Search
กลุ่มนักอนุรักษ์พบ ‘ฟรุตเค้ก’ 
อายุ 100 ปี ที่ยังสามารถกินได้!นอกจากการค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ต่างๆ แล้ว ก็ยังมีการค้นพบเหล่าวัตถุโบราณต่างๆ ซึ่งวัตถุที่ว่านั้นบางครั้งก็อาจไม่ใช่ข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณหรือสิ่งของที่มีมูลค่ามากเท่านั้น แต่มันอาจเป็นของกินก็ได้ อย่างเช่น ‘ฟรุตเค้ก’ ชิ้นนี้ที่อยู่ในแอนตาร์กติกามาเป็นเวลานานนับศตวรรษ แถมยังคงอยู่ในสภาพดีเยี่ยม กลิ่นยังโอเคอยู่ และยังสามารถกินได้อีกด้วย

ฟรุตเค้กชิ้นนี้มีอายุมากถึง 100 ปี 
ถูกค้นพบที่แหลมเคปอาแดร์ โดยกลุ่มนักอนุรักษ์ Antarctic Heritage Trust ซึ่งพวกเขา ได้เผยว่า ‘ฟรุตเค้กก้อนนี้ถูกผลิตขึ้นมาโดยบริษัทสัญชาติอังกฤษที่ชื่อ Huntley And Palmers และคาดว่าน่าจะเป็นของ Robert Falcon Scott นักสำรวจชาวอังกฤษ โดยจะเห็นได้ว่ามันยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ และถูกห่อด้วยกระดาษเอาไว้’

นอกจากมันจะมีอายุมายาวนานแล้ว มันยังมีเบื้องหลังเรื่องราวที่น่าสนใจอีกด้วย เพราะมันถูกพบในกระท่อมหลังหนึ่ง โดยสถานที่แห่งนี้เคยถูก Scott และเพื่อนร่วมสำรวจชาวอังกฤษใช้ในปี 1910-1913 ระหว่างโครงการสำรวจ Terra Nova 

ซึ่งภายหลังจากที่เขาและเพื่อนร่วมสำรวจชาวอังกฤษสามารถพิชิตขั้วโลกใต้ได้สำเร็จก็กลับต้องมาเจอกับเรื่องโชคร้าย เพราะทีมของเขาดันเสียชีวิตระหว่างการเดินทางกลับฐานเสียก่อน
ด้าน Lizzie Meek ผู้จัดการฝ่ายอนุรักษ์โบราณวัตถุขององค์กร Antarctic Heritage Trust จากประเทศนิวซีแลนด์ ได้ออกมากล่าวว่า ‘การค้นพบฟรุตเค้กที่ยังคงมีรูปร่างที่สมบูรณ์ขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกเป็นอย่างมาก มันเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ซึ่งเหมาะสำหรับการดำรงชีวิตและการทำงานในแอนตาร์กติกา และแน่นอนว่ามันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสังคมชาวอังกฤษยุคนั้น’
เรียกได้ว่าเป็นการค้นพบที่แปลกประหลาดอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าในยุคสมัยนี้ได้มีการค้นพบแปลกๆ เกิดขึ้นอยู่บ่อยมากจริงๆ แถมหลายๆ สิ่งที่ค้นพบนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้ไม่น้อยทีเดียว ส่วนเรื่องฟรุตเค้กร้อยปีนี้ก็น่าเหลือเชื่อเช่นกันที่มันยังสามารถกินได้อยู่ ว่ามั้ย?

นักดูดาวอิตาลีตะลึง เจอวัตถุบินเร็วจี๋ผ่านดวงจันทร์ คาดเป็น UFO 38 ลำ

นักดูดาวชาวอิตาลี สุดประหลาดใจ เห็นวัตถุประหลาดบินเร็วจี๋ผ่านหน้าดวงจันทร์ คาดอาจเป็น จานบิน UFO นับได้ 38 ลำ
ค้นหา
Custom Search

เว็บไซต์ Russia Today รายงานและเผยแพร่คลิปพร้อมกับตั้งคำถาม 38 UFOs? ใช่ UFO หรือไม่? หลังจากมีกลุ่มนักดาราศาสตร์มือสมัครเล่น อ้างว่า พบวัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ได้ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า จานบิน หรือจานผี UFO จำนวนถึง 38 ลำ เคลื่อนตัวผ่านดวงจันทร์ด้วยความเร็ว ซึ่งมีนักดาราศาสตร์ในกรุงโรม อิตาลี ถ่ายไว้ได้

ขณะที่เว็บไซต์ anonews แจ้งว่า  TBV Investigation ได้รับการติดต่อเผยแพร่คลิปวิดีโอดังกล่าว ระบุ นายอเลซซิโอ นักดูดาวชาวอิตาลี ได้พบจานบิน UFOs บินผ่านดวงจันทร์ จากจุดที่เห็นคือเหนือท้องฟ้ากรุงโรม อิตาลี เมื่อวันที่ 29 ก.ค.61 โดยคลิปวิดีโอนี้ กลุ่มนักดูดาวมือสมัครเล่น ที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า ‘Black Vault’ เขียนแจ้งมายัง TBV Investigation ว่า

‘สวัสดี ฉันเป็นเพื่อนของ.... และฉันต้องการรายงานสิ่งที่ได้เห็น
มันเป็นวันหลังจากเกิดปรากฏการณ์ Blood Moon พระจันทร์สีเลือด คืนนั้นท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส และฉันได้ใช้อุปกรณ์ในการดูและถ่ายรูป-คลิปวิดีโอพระจันทร์ ประกอบด้วย
-Sky-Watcher Masksutov SkyMax127/500 OTA
-T2 ring
-Pentax HD DA AF1.4x rear conventer
-Pentax K-70
ขอบคุณที่ให้ความสนใจ, ด้วยความนับถือ
จากคำอธิบายของคลิปวิดีโอ ทางกลุ่ม Black Vault บอกว่านับจำนวนวัตถุบินได้ 38 ลำ ซึ่งทางเทคนิคแล้ว UFO คือ วัตถุบินที่ไม่สามารถระบุอัตลักษณ์ได้ หรือแม้แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นนก คุณก็ไม่ถูกต้องที่จะเรียกพวกมันว่า UFO ถ้ายังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไร

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

จีนตะลึง แสงประหลาดเหนือท้องฟ้า หวั่นเป็นกองกำลังจานบิน UFO

ค้นหา
Custom Search
จีนตะลึง แสงประหลาดเหนือท้องฟ้า หวั่นเป็นกองกำลัง
จานบิน UFO
ชาวจีนในนครฉงชิ่ง ตื่นตะลึง เห็นแสงประหลาดสีส้มแดง ลักษณะวงกลม หลายดวง เคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง ปรากฏเหนือท้องฟ้ายาม
ค่ำ ลือกันสนั่นหวั่น อาจเป็นกองกำลังจานบิน ของมนุษย์ต่างดาว

เว็บไซต์ เดลี่เมล ,เมโทร และสื่อต่างประเทศ รายงาน ผู้คนในนครฉงชิ่ง ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ต้องตื่นตะลึง เห็นแสงประหลาดเจิดจ้า มีลักษณะเป็นวงกลม สีส้ม-แดง 3 ดวง ปรากฏอยู่เหนือน่านฟ้าช่วงใกล้ค่ำ 

ในนครฉงชิ่ง เมื่อวันพุธ ที่ผ่านมา จนมีการลือกันมากมายว่า แสงประหลาดที่เห็น อาจเป็นกองกำลัง วัตถุบินกำหนดเอกลักษณ์ไม่ได้ (UFO) ของมนุษย์ต่างดาวที่บุกมาเยือนโลก
ผู้คนที่ห็นเหตุการณ์ ได้มีการบันทึกคลิปวิดีโอและนำมาเผยแพร่ทาง ‘Weibo’ สื่อสังคมออนไลน์ในจีน โดยเว็บไซต์ เดลี่เมล ระบุว่า แสงประหลาดที่เห็นนั้น มีการเคลื่อนที่ลักษณะเป็นเส้นตรง พอแสงสว่าง ดวงหนึ่งหายไป ก็มีแสงอีกดวงสว่างวาบขึ้นมาแทน ขณะที่ชาวเน็ตบางคนมองว่า แสงลึกลับบนท้องฟ้า มีลักษณะคล้ายกับเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีการแบ่งตัวก็ไม่ปาน และที่น่าประหลาดใจก็คือ ยังมีชาวจีนที่เห็นแสงประหลาดนี้ เหนือท้องฟ้าในนครเซี่ยงไฮ้ ทางตะวันออกของจีน รวมทั้งที่เขตปกครองตนเองซินเจียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนด้วย

อย่างไรก็ตาม ขณะที่มีชาวจีนร่ำลือกันถึงแสงประหลาดที่เห็นดังกล่าวว่าอาจเป็น จานผี ยูเอฟโอ ปรากฏว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอ ได้ออกมาอ้างว่า คลิปแสงประหลาดที่แชร์กันบนสื่อโซเชียลในจีน อาจเป็นจรวด
ที่กำลังพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศโลก
ก็เป็นได้

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

กำเนิดดวงไฟบนก้านไม้


กำเนิดดวงไฟบนก้านไม้ หากค้นหาข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับประวัติไม้ขีดไฟ หลายคนอาจคิดว่าผู้ริเริ่มการประดิษฐ์ไม้ขีดไฟคือ จอห์น วอล์คเกอร์ นักเคมีชาวอังกฤษ ที่ใช้เศษไม้จุ่มปลายลงในส่วนผสมของ แอนติโมนีซัลไฟด์โพแทสเซียมคลอเรตและกาว 
ค้นหา
Custom Search

ซึ่งทำจากยางไม้ หรือ gumarabic เมื่อนำไม้ขีดไฟขูดลงบนกระดาษทรายจะเกิดแรงเสียดสี ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนที่ทำให้ไม้ขีดลุกเป็นไฟ ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1827

แต่ความจริงแล้วผู้คิดค้นการจุดไฟด้วยไม้แท่งเล็ก ๆ มาจากนางกำนัลชาวจีนโบราณแห่งอาณาจักรฉี ที่ตกระกำลำบากในช่วงที่ทหารจากอาณาจักรอื่นเข้ายึดครอง เมื่อปีค.ศ. 577 พวกนางจึงต้องหาวธีในการจุดไฟทำอาหาร ด้วยการใช้ก้านไม้สนเล็ก ๆ ชุบกับกำมะถัน

เมื่อสัมผัสกับเปลวไปเพียงเล็กน้อยมันก็จะลุกติดเป็นเปลวไฟขนาดเท่าเม็ดข้าวโพดที่ปลายไม้

ในยุคก่อนนั้นมันถูกเรียกว่า 
“ทาสนำไฟ” แต่ภายหลังเมื่อกลายเป็นสินค้าขายดี มันก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ก้านไฟหนึ่งนิ้ว”

ซึ่งชาวจีนใช้สิ่งประดิษฐ์นี้มาเกือบพันปีแล้ว ก่อนที่ชาวยุโรปจะเดินทางเข้ามา จนกระทั่งในปีที่นักเคมีคนดังกล่าวประดิษฐ์ไม้ขีดไฟขึ้นและเปลี่ยนจากกำมะถันเป็นสารเคมีที่ได้ผลดีกว่าซึ่งสามารถสร้างประกายไฟขึ้นมาด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องต่อจากกองไฟที่มีอยู่แล้ว

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

ผลศึกษาชี้อารยธรรมโบราณชาวมายาล่มสลายขณะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

มีหลักฐานที่ชี้ว่าชาวมายาใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อปกป้องสิ่งเเวดล้อมและเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของที่ดิน

ปิรามิดแห่งอารยธรรมมายาโบราณและซากโบราณสถานที่ทำจากหิน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรุ่งเรืองทางอารยธรรมที่ชาวมายาทิ้งไว้แก่ชาวโลกรุ่นหลัง ซากที่หลงเหลืออยู่ของไร่นาแบบขั้นบันได คลอง และฝายกั้นน้ำ ล้วนเป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าชาวมายารุ่งเรืองด้านการเกษตรกรรม
ศาสตราจารย์ Tim Beach และศาสตราจารย์ Sheryl Beach เป็นทีมนักวิจัยสามีภรรยาและผู้เชี่ยวชาญแห่งมหาวิทยาลัย University of Texas กล่าวว่าความก้าวหน้าของอารยธรรมมายาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศวิทยา 
ซึ่งคล้ายๆกับการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน เพียงแต่มีระดับเล็กกว่าเท่านั้น ศาสตราจารย์ Tim Beach กล่าวว่าชาวมายาประสบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนเราสมัยนี้กำลังประสบอยู่ และมีการพยายามแก้ปัญหาและปรับตัวได้สำเร็จ 

ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนทำการศึกษาตัวอย่างชั้นดินจากทั่วเขตอารยธรรมมายา เพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านการใช้ที่ดินของชาวมายา ศาสตราจารย์ Sheryl Beach กล่าวว่าผลการวิเคราะห์ตัวอย่างดินพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในดิน ที่ชี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงลักษณะของพืชประเภทหลักๆ 

ศาสตราจารย์ Tim Beach กล่าวว่ามีหลักฐานที่ชี้ว่าชาวมายาใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อปกป้องสิ่งเเวดล้อมและเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของที่ดิน แม้ว่าเมืองต่างๆ ทั่วเขตอารยธรรมมายาจะเริ่มลดความรุ่งเรืองลงแล้ว 
เขากล่าวว่าดินในอารยธรรมมายายังคงความอุดมสมบูรณ์และให้ผลผลิตที่ดีเสมอมา เพราะชาวมายาใช้มาตรการต่างๆ ในการดูแลสภาพแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศ ผลการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนนี้แย้งกับทฤษฎีที่ว่า วิกฤติทางสิ่งแวดล้อมเป็นต้นเหตุหลักเพียงสาเหตุเดียวที่ทำให้ชาวมายาละทิ้งเมืองต่างที่ตั้งอยู่ในที่ลุ่ม ศาสตราจารย์ Sheryl Beach 
กล่าวว่าชาวมายาสามารถผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมไปได้ 
แม้ว่าจะมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงน้อยนิด ศาสตราจารย์ Beach กล่าวว่าความรู้และเทคโนโลยีที่ชาวมายามีใช้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมไม่ทันสมัยเท่ากับคนในปัจจุบัน นี่ช่วยสร้างความหวังว่าคนเราในปัจจุบันที่มีความก้าวหน้ามากกว่าน่าจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น 
ผู้เชี่ยวชาญอเมริกันทั้งสอง
ชี้ว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาอีกหลายๆด้าน
เพื่อค้นคว้าว่าอารยธรรมโบราณอารยธรรมต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต รับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ประสบในตอนนั้นอย่างไร
กันบ้าง

รายการบล็อกของฉัน